หุ้น THG -13% หลังพบธุรกรรมผิดปกติ กู้ยืมเงินภายใน สั่งสินค้าแต่ไม่ได้มีการรับมอบสินค้าจริง
เมื่อวันที่ 21 กันยายนที่ผ่านมา บริษัท ธนบุรี เฮลท์แคร์ กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) หรือ THG เจ้าของโรงพยาบาลธนบุรี ได้แจ้งต่อตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย

ภายหลังพบความผิดปกติของธุรกรรมการกู้ยืมเงิน และการสั่งสินค้าของบริษัทย่อย 2 แห่ง ได้แก่

- บริษัท โรงพยาบาลธนบุรี บำรุงเมือง จำกัด (THB)
ซึ่ง THG ถือหุ้นอยู่ 83.03%
- บริษัท ที เอช เฮลท์ จำกัด (THH)
ซึ่ง THG ถือหุ้นอยู่ 51.22%

โดยเหตุการณ์ที่น่าสงสัยทั้งหมด เริ่มจาก

1. ทั้ง THB และ THH ได้มีการปล่อยกู้เงินกับบริษัท บริษัท ราชธานีพัฒนาการ (2014) จำกัด (RTD) ซึ่งมีครอบครัววนาสินเจ้าของ THG เป็นผู้ถือหุ้นรายใหญ่

ตั้งแต่ช่วงปลายปี 2565 ถึงปี 2566
ทั้งหมด 6 รายการ เป็นเงินจำนวนทั้งหมด 145 ล้านบาท

2. THB ให้กู้ยืมเงินแก่บริษัท ไทย เมดิเคิล กรุ๊ป จำกัด ซึ่งเป็นบริษัทที่ RTD เป็นผู้ถือหุ้นรายใหญ่ในปี 2566 จำนวนทั้งสิ้น 1 รายการ คิดเป็นยอดเงินรวมทั้งหมด 10 ล้านบาท

3. THH สั่งซื้อสินค้าจากบริษัทซึ่งจดทะเบียนจัดตั้งขึ้นในประเทศสิงคโปร์ แต่ไม่ได้มีการรับมอบสินค้าจริง ในปี 2566 จำนวนทั้งสิ้น 2 รายการ คิดเป็นยอดเงินรวมทั้งสิ้น 55 ล้านบาท

รวมธุรกรรมน่าสงสัยทั้งหมด 210 ล้านบาท

อย่างไรก็ตาม นายแพทย์บุญ วนาสิน หรือ "หมอบุญ" อดีตประธานกรรมการ และเป็นผู้ก่อตั้ง THG ได้ออกมาบอกว่า ประเด็นที่แจ้งต่อตลาดหลักทรัพย์ฯ นั้น

เป็นเพียงเรื่องเข้าใจผิดภายในองค์กร โดยยอมรับว่าสั่งซื้อสินค้าจากประเทศเยอรมัน แต่ไม่ได้รับมอบสินค้าจริง

ซึ่งปัจจุบันมีบริษัทเข้ามารับผิดชอบค่าเสียหายแล้ว
โดยคิดเป็นมูลค่าเสียหาย 110 ล้านบาท ไม่ใช่ 210 ล้านบาท

หากใครตามไม่ทัน ลองมาดูสรุปเรื่องทั้งหมดที่เกิดขึ้นกันอีกครั้ง

- บริษัทลูกในเครือของ THG ให้เงินกู้ยืมกันไปมา รวม 155 ล้านบาท ซึ่งจุดหมายทางของเงินคือ บรฺิษัทที่มีครอบครัววนาสิน เป็นผู้ถือหุ้นรายใหญ่ ทั้งทางตรงและทางอ้อม
- บริษัทลูกมีการสั่งซื้อสินค้าจากสิงคโปร์ รวม 55 ล้านบาท แต่ไม่ได้รับสินค้าจริง
- ผู้ก่อตั้ง THG ออกมาบอกว่า เป็นเพียงเรื่องเข้าใจผิด..

ไม่ว่าเบื้องหลังความจริง จะเป็นอย่างไร แต่ที่แน่ ๆ คือ วันนี้ราคาหุ้น THG ได้ดิ่งลงแล้วจากเรื่องนี้ โดยเปิดตลาดมาอยู่ที่ 19.5 บาท ลดลงจากราคาปิดวันก่อนหน้าที่ 25.25 หรือ -20%

แต่ราคาหุ้นมีเด้งคืนบ้าง จนล่าสุดอยู่ที่ -13%
ทำให้มูลค่าบริษัทจาก 21,400 ล้านบาท ลดลงเหลือ 18,500 ล้านบาท หรือหายไปเกือบ 2,900 ล้านบาท ภายในไม่กี่ชั่วโมง..