ทำไมบางครั้ง หุ้นถึงลงแรง แม้กำลังจะลดดอกเบี้ย
ทำไมบางครั้ง หุ้นถึงลงแรง แม้กำลังจะลดดอกเบี้ย /โดย ลงทุนแมน
หลายคนน่าจะเข้าใจว่า อัตราดอกเบี้ยและตลาดหุ้น เป็นของแสลงต่อกัน
หลายคนน่าจะเข้าใจว่า อัตราดอกเบี้ยและตลาดหุ้น เป็นของแสลงต่อกัน
ซึ่งโดยปกติแล้ว เมื่อใดที่อัตราดอกเบี้ยต่ำ จะส่งผลดีต่อตลาดหุ้น
และเมื่อใดที่อัตราดอกเบี้ยสูง ก็จะส่งผลให้เงินไหลออกจากตลาดหุ้น
และเมื่อใดที่อัตราดอกเบี้ยสูง ก็จะส่งผลให้เงินไหลออกจากตลาดหุ้น
แต่จริง ๆ แล้ว ในบางครั้งจะมีอยู่ช่วงเวลาหนึ่ง ที่เมื่อกำลังจะลดดอกเบี้ย หรือแม้แต่ลดดอกเบี้ยไปแล้ว ตลาดหุ้นกลับปรับตัวลงอย่างรุนแรง
ทำไมถึงเป็นเช่นนั้น ?
ลงทุนแมนจะเล่าให้ฟัง
ลงทุนแมนจะเล่าให้ฟัง
โดยพื้นฐาน ดอกเบี้ยคือค่าใช้จ่ายที่ต้องจ่ายเมื่อยืมเงิน เมื่อดอกเบี้ยลดลง จะกระตุ้นเศรษฐกิจ และส่งผลดีต่อตลาดหุ้น
เพราะทั้งคนและธุรกิจ มีแนวโน้มที่จะยืมเงินมากขึ้น เพื่อไปลงทุนหรือใช้จ่าย
ต้นทุนการกู้ยืมของบริษัทลดลง ทำให้มีกำไรมากขึ้น
ผู้บริโภคมีกำลังซื้อมากขึ้น เนื่องจากภาระหนี้ลดลง
เมื่อผลประกอบการดี ธุรกิจขยายตัว ราคาหุ้นก็เพิ่มตาม ซึ่งเป็นเรื่องธรรมดา
ผู้บริโภคมีกำลังซื้อมากขึ้น เนื่องจากภาระหนี้ลดลง
เมื่อผลประกอบการดี ธุรกิจขยายตัว ราคาหุ้นก็เพิ่มตาม ซึ่งเป็นเรื่องธรรมดา
รวมถึงผลตอบแทนจากการลงทุนในตราสารหนี้ ที่ต่ำลง ทำให้นักลงทุนหันมาลงทุนในหุ้นมากขึ้น
แต่ในบางช่วงเวลา แม้จะมีการลดดอกเบี้ย หรือมีแนวโน้มที่จะลดดอกเบี้ย
ตลาดหุ้น ก็อาจปรับตัวลงอย่างรุนแรงได้
ตลาดหุ้น ก็อาจปรับตัวลงอย่างรุนแรงได้
ทำไมถึงเป็นเช่นนั้น ?
นั่นก็เพราะ การลดดอกเบี้ย เป็นหนึ่งใน “สัญญาณ” ที่บอกถึงวิกฤติ หรือภาวะไม่ปกติของเศรษฐกิจ
แม้ว่าการลดดอกเบี้ย ควรจะเป็นข่าวดีสำหรับตลาดหุ้น แต่การที่ธนาคารกลางตัดสินใจลดดอกเบี้ย มักจะเป็นสัญญาณ หรือการยอมรับโดยนัยว่า ธนาคารกลางมีความกังวลเกี่ยวกับภาวะเศรษฐกิจในปัจจุบันหรืออนาคต
การที่เศรษฐกิจเริ่มชะลอตัวหรือมีสัญญาณที่จะถดถอย เป็นสาเหตุหนึ่งที่ทำให้ธนาคารกลางต้องใช้มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ และการลดดอกเบี้ย ก็เป็นเครื่องมือสำคัญที่ธนาคารกลางใช้สู้กับวิกฤติเศรษฐกิจมาตลอด
ดังนั้น เมื่อมีสัญญาณของการลดดอกเบี้ย นักลงทุนที่มองว่าเศรษฐกิจกำลังอ่อนแอ อาจตัดสินใจขายหุ้น เพื่อหลีกเลี่ยงความเสี่ยง ส่งผลให้ตลาดหุ้นปรับตัวลง
อย่างเช่น วิกฤติซับไพรม์ในปี 2008 ที่เริ่มต้นจากปัญหาฟองสบู่ตลาดที่อยู่อาศัย ของสหรัฐอเมริกา ในปลายปี 2007 ซึ่งก็ตามมาด้วยความผันผวนของตลาดหุ้น ที่เริ่มปรับตัวลง
จนเมื่อ FED ประกาศลดดอกเบี้ยอย่างรุนแรงในเดือนมกราคม 2008 ตลาดหุ้นก็ปรับตัวลงอย่างหนักอีกครั้ง ในช่วงเริ่มต้นของการลดดอกเบี้ย และลากยาวไปจนถึงช่วงปลายปี
ซึ่งกว่าตลาดหุ้นจะฟื้นตัว
FED ก็ได้ลดดอกเบี้ยลงสู่ระดับ 0-0.25% ไปแล้ว
พร้อมกับการทำมาตรการ QE อัดฉีดเงินเข้าสู่ระบบ เพื่อพยุงราคาทรัพย์สิน
FED ก็ได้ลดดอกเบี้ยลงสู่ระดับ 0-0.25% ไปแล้ว
พร้อมกับการทำมาตรการ QE อัดฉีดเงินเข้าสู่ระบบ เพื่อพยุงราคาทรัพย์สิน
หรืออย่างล่าสุด ที่ตลาดหุ้นสหรัฐอเมริกา ได้ไต่ระดับทำ New High นำโดยหุ้นกลุ่มเทคฯ หุ้นกลุ่ม AI
แต่ช่วงนี้ตลาดหุ้นกลับผันผวนหนัก เหมือนรถไฟเหาะ และเริ่มปรับฐานลง แถมมีบางวันที่ปรับตัวลงอย่างรุนแรง
เนื่องจากนักลงทุนต่างกังวลว่าเศรษฐกิจสหรัฐอเมริกา และหลายประเทศทั่วโลก กำลังเสี่ยงที่จะถดถอย
ในยามที่ธนาคารกลางในหลาย ๆ ประเทศ ส่งสัญญาณเข้าสู่ยุคลดอัตราดอกเบี้ย
ในยามที่ธนาคารกลางในหลาย ๆ ประเทศ ส่งสัญญาณเข้าสู่ยุคลดอัตราดอกเบี้ย
จะเห็นว่าทั้งสองกรณี ตลาดหุ้นปรับตัวลดลงอย่างรุนแรง แม้ในช่วงที่มีการลดดอกเบี้ย หรือกำลังจะลดดอกเบี้ย
เพราะการแปรความหมายของการลดดอกเบี้ยว่า เศรษฐกิจกำลังเจอวิกฤติ ก็ได้ทำให้เกิดช่วงเวลาที่หุ้นตกลงอย่างรุนแรง แม้จะเป็นช่วงที่ดอกเบี้ยกำลังปรับตัวลงก็ตาม
แล้วเงินที่ไหลออกจากตลาดหุ้นในช่วงนี้ ไปอยู่ที่ไหน ?
เมื่อเกิดสถานการณ์ที่นักลงทุนขายหุ้นก่อนการลดดอกเบี้ย เงินที่ไหลออกจากตลาดหุ้น มักจะถูกย้ายไปยังสินทรัพย์ประเภทอื่นที่ปลอดภัยหรือมีความเสี่ยงน้อยกว่า เช่น พันธบัตรรัฐบาล หรือแม้แต่ในรูปของเงินสด
นอกจากนี้ การลดดอกเบี้ย ยังอาจส่งผลกระทบต่อค่าเงิน ซึ่งอาจทำให้เงินทุนไหลออก และส่งผลลบต่อตลาดหุ้นได้เช่นกัน
อย่างไรก็ตาม นอกจากอัตราดอกเบี้ยแล้ว ยังมีปัจจัยอื่น ๆ ที่ส่งผลต่อตลาดหุ้น เช่น ภาวะเศรษฐกิจโดยรวม, ผลประกอบการของบริษัทจดทะเบียน, นโยบายของรัฐบาล, เหตุการณ์สำคัญระดับโลก
อีกทั้งการลดดอกเบี้ย ก็เป็นสิ่งที่นักลงทุนตีความแตกต่างกันไป
แม้แต่ความคาดหวังของนักลงทุน รวมถึงจังหวะการปรับลดดอกเบี้ยที่ช้า-เร็วต่างกัน ก็ส่งผลต่อตลาดหุ้นแตกต่างกันด้วย
เช่น หากนักลงทุนคาดหวังว่า การลดดอกเบี้ยจะเกิดขึ้นเร็วกว่าที่คาดการณ์ไว้ ตลาดหุ้นอาจปรับตัวขึ้นก่อนที่จะมีการประกาศลดดอกเบี้ยจริง
ดังนั้น นอกจากการติดตามว่าดอกเบี้ย จะลดหรือเพิ่ม เมื่อไรแล้ว
การวิเคราะห์หาสาเหตุว่า ทำไมถึงต้องมีการปรับดอกเบี้ย และตลาดมีความคาดหวังอย่างไร ก็จะช่วยให้นักลงทุนเข้าใจความผันผวนของตลาดหุ้น และวางแผนรับมือได้ดีขึ้น นั่นเอง
อย่างไรก็ตาม การลดดอกเบี้ยไม่ได้หมายความว่า ตลาดหุ้นจะปรับตัวลดลงเสมอไป
หากนักลงทุนมีความเชื่อมั่นว่า เศรษฐกิจจะฟื้นตัวได้เร็ว ผลประกอบการของธุรกิจ จะเติบโตขึ้น
การลดดอกเบี้ย ก็อาจเป็นปัจจัยบวกที่ช่วยกระตุ้นตลาดหุ้นให้ปรับตัวสูงขึ้นได้..