เศรษฐกิจยุโรป ดินแดนแห่งแฟชั่น ยา และนวัตกรรม /โดย ลงทุนแมน
ปัจจุบัน ยุโรปทั้งทวีป มี GDP รวมกันคิดเป็นสัดส่วน 18% ของโลก

สิ่งที่น่าสนใจก็คือ หากสังเกตจากบริษัทในตลาดหุ้นที่มีมูลค่าสูงเป็นอันดับต้น ๆ ของทวีปนี้
ก็น่าจะสรุปได้ว่า เศรษฐกิจของยุโรป กำลังให้ความสำคัญกับ “แฟชั่น ยา และนวัตกรรม”

แล้วเบื้องหลังที่ทำให้ ยุโรป เป็นผู้นำในด้านนี้ คืออะไร ?
ลงทุนแมนจะเล่าให้ฟัง

บริษัทที่มีมูลค่าสูงสุด 3 อันดับแรกของยุโรป
- Novo Nordisk บริษัทยาชั้นนำด้านการรักษาโรคเบาหวาน มียอดขายยาเบาหวานสูงที่สุดในโลก

- ASML บริษัทผลิตเครื่องฉายแสง EUV สำหรับผลิตชิปขั้นสูง ที่ยังไม่มีบริษัทใด เข้ามาแทนที่ได้ ณ ตอนนี้

- LVMH อาณาจักรแบรนด์หรูที่ใหญ่สุดในโลก เจ้าของแบรนด์หรูชื่อดังมากมาย ไม่ว่าจะเป็น Dior, Louis Vuitton, Celine, Loro Piana

นอกจากทั้ง 3 บริษัท ที่ต่างก็เป็นผู้นำในอุตสาหกรรมที่ลงแข่งขัน

ในยุโรปยังมีบริษัทขนาดใหญ่อื่น ๆ อีกมาก ที่ช่วยเสริมความแข็งแกร่งและบอกเล่าเรื่องราวของทวีปยุโรปได้ชัดเจนมากยิ่งขึ้น

เริ่มจาก การเป็นดินแดนแห่งแฟชั่น..

หากเรามองรอบตัวให้ดี ไม่ว่าจะเป็นภาษาอังกฤษ ภาษาฝรั่งเศส หรือภาษาสเปน ที่ผู้คนใช้กันทั่วโลก งานศิลปะ สถาปัตยกรรม เพลงคลาสสิก ปรัชญา แฟชั่น แม้แต่เรื่องราวทุกอย่างล้วนมีต้นกำเนิดมาจากยุโรป

การมีพื้นฐานทางประวัติศาสตร์ที่แข็งแกร่งและมีวัฒนธรรมที่น่าค้นหา
ทำให้ชาวยุโรปสามารถนำสิ่งเหล่านี้ มาเป็นจุดขาย สร้างสินค้าทั้งเสื้อผ้า กระเป๋า นาฬิกา เครื่องสำอาง น้ำหอม เพื่อขายให้กับผู้คนทั้งโลก
ซึ่งประเทศฝรั่งเศส อิตาลี และสวิตเซอร์แลนด์ เชี่ยวชาญเรื่องพวกนี้เป็นอย่างดี

นอกจากขายสินค้าแล้ว
การบริการอย่างการท่องเที่ยว ก็เป็นที่มาของรายได้เป็นกอบเป็นกำ เพราะมีมรดกโลกทางวัฒนธรรมมากที่สุด
และรายได้หลักของหลาย ๆ ประเทศ เช่น สเปน กรีซ และโครเอเชีย ก็ล้วนมาจากภาคการท่องเที่ยว

ยุโรปที่เคยเป็นจุดกำเนิดของการปฏิวัติอุตสาหกรรม เป็นที่ตั้งของโรงงานมากมาย
แต่ในวันนี้ ยุโรปเปลี่ยนจากการเป็นโรงงานของโลก มาเป็นผู้กำหนด “ต้นแบบ” ในการผลิต
เป็นนักออกแบบ ดิไซเนอร์ และนักวิจัย

เรื่องราวเหล่านี้ ก็ได้สะท้อนมายังการเป็นดินแดนแห่งแฟชั่น ที่นอกจากจะมีอาณาจักร LVMH ที่มีมูลค่าบริษัทมากที่สุดในกลุ่มกว่า 14 ล้านล้านบาทแล้ว ก็ยังมีอาณาจักรอื่น ๆ อีก เช่น

- Industria de Diseño Textil หรือ Inditex จากประเทศสเปน เจ้าของแบรนด์เสื้อผ้า ZARA และยังมีแบรนด์อื่น ๆ ในเครืออีกกว่า 7 แบรนด์ มีสาขากว่า 5,700 สาขาทั่วโลก และมีมูลค่าบริษัทกว่า 6 ล้านล้านบาท

- Hermès แบรนด์แฟชั่นหรูจากฝรั่งเศส ที่ก่อตั้งมานานเกือบ 200 ปี และเป็นหนึ่งในคู่แข่งสำคัญของ LVMH ซึ่งสินค้าของ Hermès ก็เป็นที่ต้องการอย่างมาก จากทั่วโลก

ด้วยความที่ผลิตสินค้าออกมาจำกัด มีความต้องการสูง ประกอบกับเรื่องราวของแบรนด์หรู ทำให้ Hermès สามารถตั้งราคาขายได้สูงมาก จึงมีอัตรากำไรสุทธิสูงถึง 32% ดันให้ Hermès มีมูลค่าบริษัทสูงถึง 9 ล้านล้านบาท

ต่อมาคือ การเป็นดินแดนแห่งยาและเครื่องสำอาง..

ยุโรปก้าวขึ้นมาเป็นผู้นำในวงการเภสัชกรรมของโลก เพราะมีองค์ความรู้ด้านเคมี และวิทยาการทางการแพทย์ที่แข็งแกร่งมาอย่างยาวนาน

ตั้งแต่ยุคกลางที่มหาวิทยาลัยในยุโรปเริ่มก่อตั้งขึ้น และทำการศึกษาด้านการแพทย์อย่างจริงจัง ตัวอย่างเช่น มหาวิทยาลัยโบโลญญา ในอิตาลี ซึ่งก่อตั้งขึ้นในปี ค.ศ. 1088 เป็นหนึ่งในมหาวิทยาลัยที่เก่าแก่ที่สุดในโลก ที่มีการศึกษาด้านการแพทย์อย่างลึกซึ้ง

อีกทั้งในศตวรรษที่ 19 และ 20 ยุโรปยังเป็นแหล่งกำเนิดของนักวิทยาศาสตร์ที่มีชื่อเสียงหลายคน เช่น หลุยส์ ปาสเตอร์ ผู้ค้นพบวัคซีนป้องกันโรคพิษสุนัขบ้า และอเล็กซานเดอร์ เฟลมิง ผู้ค้นพบเพนิซิลลิน ยาปฏิชีวนะชนิดแรกของโลก

นอกจากนี้ การทำการทดลองทางคลินิก โดยเฉพาะยารักษาโรคเรื้อรัง จะต้องมีผู้ป่วยมากพอ ซึ่งส่วนใหญ่จะเป็นผู้ที่มีอายุตั้งแต่วัยกลางคนขึ้นไป

แน่นอนว่า ยุโรป เป็นทวีปที่ “แก่” ที่สุดในโลก

อายุกลาง หรือ Median Age ของผู้คนในทวีปยุโรปอยู่ที่ 45 ปี หมายความว่า ผู้คนครึ่งหนึ่งของทวีปนี้ มีอายุมากกว่า 45 ปี

ซึ่งมากกว่าชาวอเมริกันที่มีอายุกลางอยู่ที่ 39 ปี และชาวจีนที่มีอายุกลางอยู่ที่ 40 ปี

ด้วยความพร้อมรอบด้านที่มี ทำให้อุตสาหกรรมยาของยุโรป จึงมีความก้าวหน้าอย่างมาก และมีบริษัทยาขนาดใหญ่เกิดขึ้นมากมาย เช่น

- Novo Nordisk บริษัทจากเดนมาร์ก ที่เชี่ยวชาญในการผลิตยารักษาโรคเบาหวาน และเป็นผู้นำระดับโลกในด้านการวิจัยและพัฒนายาอินซูลิน มีการลงทุนอย่างต่อเนื่องในการพัฒนานวัตกรรมใหม่ ๆ เพื่อช่วยเหลือผู้ป่วยโรคเบาหวานทั่วโลก ปัจจุบันมีมูลค่าบริษัท 23 ล้านล้านบาท

- Sanofi บริษัทยาที่ใหญ่ที่สุดในฝรั่งเศส ด้วยมูลค่าบริษัท 5 ล้านล้านบาท มีความเชี่ยวชาญในการผลิตยาหลากหลายชนิด ตั้งแต่ยารักษาโรคเบาหวาน วัคซีน ไปจนถึงยารักษาโรคมะเร็ง

สุดท้ายคือ การเป็นดินแดนแห่งนวัตกรรม..

ประวัติศาสตร์อันยาวนานของยุโรปในด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ได้วางรากฐานสำคัญสำหรับการพัฒนานวัตกรรมในปัจจุบัน

ตั้งแต่ยุคปฏิวัติวิทยาศาสตร์ในศตวรรษที่ 16-17 ที่มีแต่นักวิทยาศาสตร์ชื่อดังมากมาย เช่น

- กาลิเลโอ กาลิเลอี เป็นนักดาราศาสตร์ นักฟิสิกส์ และวิศวกรชาวอิตาลี “บิดาแห่งวิทยาศาสตร์สมัยใหม่” ที่สนับสนุนทฤษฎีที่ว่า ดวงอาทิตย์อยู่ที่ศูนย์กลางของระบบสุริยะ

- แบล็ส ปัสกาล ผู้คิดค้นกฎของปัสกาล ที่เป็นรากฐานสำคัญของหลากหลายนวัตกรรมที่เราใช้ในปัจจุบัน เช่น อุปกรณ์เครื่องจักรกลหลายชนิด ไม่ว่าจะเป็น เบรก เครน ลิฟต์ หรือแม้แต่การออกแบบโครงสร้างสะพาน และการสร้างเขื่อน

ไปจนถึงการปฏิวัติอุตสาหกรรมในศตวรรษที่ 18-19 ที่มี เจมส์ วัตต์ ชาวสกอตแลนด์ ได้พัฒนาเครื่องจักรไอน้ำให้มีประสิทธิภาพสูงขึ้น ซึ่งกลายเป็นแรงขับเคลื่อนสำคัญของการปฏิวัติอุตสาหกรรม

แม้แต่ในศตวรรษที่ 20 ยุโรปยังคงเป็นแหล่งกำเนิดของนวัตกรรมสำคัญหลายอย่าง เช่น
- การพัฒนาเว็บเบราว์เซอร์ตัวแรกของโลก ที่สถาบันวิจัย CERN โดย ทิม เบอร์เนอร์ส-ลี
- การสร้างโทรศัพท์มือถือระบบ GSM ซึ่งเป็นมาตรฐานโทรศัพท์มือถือยุคที่ 2 ที่ใช้กันทั่วโลก

รากฐานทั้งหมดที่สั่งสมมา ก็ทำให้ปัจจุบัน ยุโรปมีบริษัทเทคโนโลยี ที่เก่งและสำคัญต่อเศรษฐกิจโลก ไม่แพ้สหรัฐอเมริกา เช่น

- ASML บริษัทจากเนเธอร์แลนด์ ที่เป็นผู้นำระดับโลกในการผลิตเครื่องฉายแสง EUV สำหรับการผลิตชิปขั้นสูง เช่น ในเทคโนโลยี 5G, AI และการประมวลผลข้อมูลขนาดใหญ่ (Big Data) ที่ต้องการชิปที่มีความซับซ้อนและมีประสิทธิภาพสูงขึ้นเรื่อย ๆ

ซึ่ง ASML มีมูลค่าบริษัท 15 ล้านล้านบาท โดยเป็นบริษัทเดียวที่สามารถผลิตเครื่องฉายแสง EUV ได้ในปัจจุบัน จึงเรียกได้ว่าไร้คู่แข่ง และยังไม่มีบริษัทใดสามารถเข้ามาแทนที่ได้

- SAP บริษัทจากเยอรมนี ผู้นำด้านซอฟต์แวร์สำหรับการจัดการธุรกิจและการวางแผนทรัพยากรองค์กร (ERP) ปัจจุบันมีมูลค่าบริษัท 9 ล้านล้านบาท

ผลิตภัณฑ์ของ SAP มีผู้ใช้งานอยู่ทั่วโลก เพื่อช่วยในการบริหารจัดการกระบวนการทางธุรกิจที่ซับซ้อน เช่น การเงิน การบัญชี การผลิต การจัดการซัปพลายเชน และทรัพยากรบุคคล แม้แต่บริษัทยักษ์ใหญ่ในไทย ก็เป็นลูกค้าของ SAP เช่นกัน

- Schneider Electric บริษัทจากฝรั่งเศส ผู้นำด้านการจัดการพลังงานและระบบอัตโนมัติ Schneider Electric มีการพัฒนานวัตกรรมใหม่ ๆ ที่ช่วยลดการใช้พลังงานและเพิ่มประสิทธิภาพในการทำงานของระบบไฟฟ้าและอุตสาหกรรม

ผลิตภัณฑ์ของ Schneider Electric ครอบคลุมหลากหลายด้าน ตั้งแต่ระบบการจัดการพลังงานในอาคารและโรงงาน ระบบอัตโนมัติในอุตสาหกรรม ไปจนถึงผลิตภัณฑ์ Smart Home ภายในบ้าน
ปัจจุบันมีมูลค่าบริษัท 5 ล้านล้านบาท

ถึงแม้ยุโรปจะไม่ได้โฟกัสไปที่การขายสินค้าอิเล็กทรอนิกส์เหมือนอย่างสหรัฐอเมริกา หรือเอเชีย

แต่ยุโรปก็อาศัยองค์ความรู้ด้านยา การแพทย์ หรือเทคโนโลยีเฉพาะทาง เพื่อสร้างสินค้าคุณภาพสูง

แม้แต่เรื่องราวทางประวัติศาสตร์ ศิลปะ วัฒนธรรม ก็ถูกส่งต่อและถ่ายทอด ออกมาเป็นสินค้าต่าง ๆ มากมาย

และก็น่าจะกล่าวได้ว่า ต่อให้เวลาจะผ่านไปอีกร้อยหรือพันปี องค์ความรู้ของชาวยุโรป ก็น่าจะถูกต่อยอดและเป็นรากฐานของเศรษฐกิจโลกต่อไป โดยไม่เสื่อมสลายไปตามกาลเวลา..

—--------------------------
โดย LVMH, Hermès, ASML, Inditex, SAP, Sanofi และ Schneider Electric อยู่ในกองทุน MEGA10EURO

“กองทุน MEGA10EURO เปิดจอง IPO”
ร่วมเป็นเจ้าของ 10 บริษัททรงอิทธิพลในยูโรโซน กับ MEGA10EURO
- กองทุนเปิด MEGA10EURO ชนิดสะสมมูลค่า (MEGA10EURO-A) ชนิดเพื่อการออม (MEGA10EURO-SSF) และกองทุนเปิด MEGA10EURO เพื่อการเลี้ยงชีพ (MEGA10EURORMF) เป็นกองทุนที่จะเข้าไปลงทุนในบริษัทที่อยู่ใน Euro Stoxx 50 ดัชนีหุ้นบริษัทขนาดใหญ่ในกลุ่มประเทศยูโรโซน

โดยคัดเลือกมาจากบริษัท ที่มีมูลค่าหลักทรัพย์ตามราคาตลาด (Market Capitalization) สูง และมีสภาพคล่องสูง จำนวน 10 บริษัท เช่น LVMH, L'Oréal, Hermès, Inditex (เจ้าของ Zara) และ EssilorLuxottica*

*บริษัทดังกล่าวสามารถปรับเปลี่ยนได้ ตามเกณฑ์การลงทุนและสภาวะการลงทุน ณ ขณะนั้น

MEGA10EURO-A เหมาะสำหรับผู้ลงทุนที่ต้องการผลตอบแทนผ่านการเพิ่มมูลค่าของหน่วยลงทุนเป็นหลัก (Total Return)
MEGA10EURO-SSF เหมาะสำหรับผู้ลงทุนที่ต้องการออมเงินระยะยาว
MEGA10EURORMF เหมาะสำหรับผู้ลงทุนที่ต้องการออมเงินเพื่อวัยเกษียณ

สำหรับผู้ที่สนใจ สามารถศึกษารายละเอียดและเริ่มต้นลงทุนได้ที่ บลจ.ทาลิส 02-0150215, 02-0150216, 02-0150222 หรือ www.talisam.co.th และผู้สนับสนุนการขายหลายราย

ผู้สนับสนุนการขาย ได้แก่

1. บริษัทหลักทรัพย์นายหน้าซื้อขายหน่วยลงทุน ฟินโนมีนา จำกัด
2. บริษัทหลักทรัพย์ อินโนเวสท์ เอกซ์ จำกัด
3. บริษัทหลักทรัพย์ เคเคพี ไดม์ จำกัด
4. บริษัทหลักทรัพย์ ฟินันเซีย ไซรัส จำกัด (มหาชน)
5. บริษัทหลักทรัพย์ กรุงศรี จำกัด (มหาชน)
6. บริษัทหลักทรัพย์ บัวหลวง จำกัด (มหาชน)
7. บริษัทหลักทรัพย์ กสิกรไทย จำกัด (มหาชน)
8. บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน เมอร์ชั่น พาร์ทเนอร์ จำกัด
9. บริษัทหลักทรัพย์ ดาโอ (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน)
10. บริษัทหลักทรัพย์ ดีบีเอส วิคเคอร์ส (ประเทศไทย) จำกัด

11. บริษัทหลักทรัพย์ เกียรตินาคินภัทร จำกัด (มหาชน)
12. บริษัทหลักทรัพย์ ทรีนีตี้ จำกัด
13. บริษัทหลักทรัพย์นายหน้าซื้อขายหน่วยลงทุน โรโบเวลธ์ จำกัด
14. บริษัทหลักทรัพย์ ฟิลลิป จำกัด (มหาชน)
15. บริษัทหลักทรัพย์ พาย จำกัด (มหาชน)
16. บริษัทหลักทรัพย์นายหน้าซื้อขายหน่วยลงทุน แอสเซนด์ เวลธ์ จำกัด
17. บริษัทหลักทรัพย์ที่ปรึกษาการลงทุน เทรเชอริสต์ จำกัด
18. บริษัทหลักทรัพย์ หยวนต้า (ประเทศไทย) จำกัด
19. บริษัทหลักทรัพย์ ธนชาต จำกัด (มหาชน)
20. บริษัทหลักทรัพย์ สยามเวลธ์ จำกัด

21. บริษัทหลักทรัพย์ ซีจีเอส อินเตอร์เนชั่นแนล (ประเทศไทย) จำกัด
22. บริษัทหลักทรัพย์ ไพน์ เวลท์ โซลูชั่น จำกัด
23. บริษัทหลักทรัพย์ เอเอสแอล จำกัด
24. บริษัทหลักทรัพย์ เว็ลธ์ เมจิก จำกัด
25. บริษัทหลักทรัพย์ ยูโอบี เคย์เฮียน (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน)
26. บริษัทหลักทรัพย์ ลิเบอเรเตอร์ จำกัด
27. ธนาคารกสิกรไทย จำกัด (มหาชน)
28. บริษัทหลักทรัพย์ บลูเบลล์ จำกัด
29. บริษัทหลักทรัพย์ เมย์แบงก์ (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน)

ทั้งนี้ รายชื่อผู้สนับสนุนการขายหน่วยลงทุน อาจมีการปรับเปลี่ยนได้ และเป็นไปตามเงื่อนไขของผู้สนับสนุนการขายหน่วยลงทุน

คำเตือน: กองทุนรวมนี้มีลักษณะเฉพาะและความเสี่ยงเฉพาะ และการลงทุนในกองทุนรวมตราสารแห่งทุนอาจมีความเสี่ยงจากความผันผวนของราคาหลักทรัพย์ ผู้ลงทุนควรทำความเข้าใจลักษณะ เงื่อนไขผลตอบแทนและความเสี่ยงของกองทุนรวมก่อนตัดสินใจลงทุน และควรศึกษาข้อมูลเกี่ยวกับสิทธิประโยชน์ทางภาษีที่ระบุไว้ในคู่มือการลงทุนของกองทุน SSF และ RMF กรณีไม่ได้ปฏิบัติตามเงื่อนไขทางภาษี จะไม่ได้สิทธิประโยชน์ตามเงื่อนไขของกองทุน

กองทุนนี้มีการลงทุนในต่างประเทศมีความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยน และมีการลงทุนกระจุกตัวของหลักทรัพย์ และ หมวดอุตสาหกรรมและประเทศที่ลงทุน จึงมีความเสี่ยงที่ผู้ลงทุนอาจสูญเสียเงินลงทุนจำนวนมาก

ผลการดำเนินงานในอดีต/ ผลการเปรียบเทียบผลการดำเนินงานที่เกี่ยวข้องกับผลิตภัณฑ์ในตลาดทุน มิได้เป็นสิ่งยืนยันถึงผลการดำเนินงานในอนาคต