สรุปหุ้น 7 ตัวใหญ่ด้าน AI ย่อลงมาแล้วเท่าไร แต่ละตัวทำอะไร ?
สรุปหุ้น 7 ตัวใหญ่ด้าน AI ย่อลงมาแล้วเท่าไร แต่ละตัวทำอะไร ? /โดย ลงทุนแมน
1. Microsoft (MSFT)
1. Microsoft (MSFT)
- บริษัทที่ใหญ่สุดในโลก ประกอบธุรกิจหลากหลายอย่าง ตั้งแต่คลาวด์ (Azure, Microsoft 365 และ Dynamics 365)
ระบบปฏิบัติการ Windows, คอนโซลเกม Xbox, เสิร์ชเอนจิน Bing
แพลตฟอร์ม LinkedIn และ GitHub
ระบบปฏิบัติการ Windows, คอนโซลเกม Xbox, เสิร์ชเอนจิน Bing
แพลตฟอร์ม LinkedIn และ GitHub
ที่สำคัญ Microsoft ยังเป็นผู้ถือหุ้นใหญ่สุดของ OpenAI ซึ่งถือในสัดส่วน 49%
โดย OpenAI คือองค์กรที่เชี่ยวชาญด้าน AI เป็นอันดับต้น ๆ ในวงการ และเป็นผู้พัฒนา ChatGPT ซึ่งทำให้คนทั้งโลกตื่นตัวในความสามารถของ Generative AI
และ Microsoft ก็ได้นำเทคโนโลยีของ OpenAI ไปผนวกและเพิ่ม Value ให้กับผลิตภัณฑ์ต่าง ๆ ของบริษัท
โดย OpenAI คือองค์กรที่เชี่ยวชาญด้าน AI เป็นอันดับต้น ๆ ในวงการ และเป็นผู้พัฒนา ChatGPT ซึ่งทำให้คนทั้งโลกตื่นตัวในความสามารถของ Generative AI
และ Microsoft ก็ได้นำเทคโนโลยีของ OpenAI ไปผนวกและเพิ่ม Value ให้กับผลิตภัณฑ์ต่าง ๆ ของบริษัท
- ผลประกอบการ 12 เดือนล่าสุด
มีรายได้ 8.4 ล้านล้านบาท กำไร 3.0 ล้านล้านบาท
มีรายได้ 8.4 ล้านล้านบาท กำไร 3.0 ล้านล้านบาท
- ราคาหุ้นล่าสุด 399.12 เหรียญ
ราคาสูงสุด 430.82 เหรียญ
ราคาต้นปี 370.87 เหรียญ
ราคาสูงสุด 430.82 เหรียญ
ราคาต้นปี 370.87 เหรียญ
- ย่อมาแล้ว -7.4% จากจุดสูงสุด
แต่ยังขึ้นจากต้นปี 7.6%
แต่ยังขึ้นจากต้นปี 7.6%
ซึ่งราคาหุ้นตอนนี้ กำลังถูกซื้อขายกันที่ P/E 36.1 เท่า เมื่อเทียบกับกำไร 12 เดือนล่าสุด
2. Alphabet (GOOGL)
- Alphabet เป็นบริษัทแม่ของ Google เจ้าของผลิตภัณฑ์สารพัดสิ่งที่เราแทบขาดไม่ได้ในชีวิตประจำวัน ไม่ว่าจะเป็นตอนที่เราอยากค้นหาข้อมูลอะไรสักอย่าง ผ่าน Google Search
จะออกเดินทางไปไหน ต้องเปิด Google Map
อยากเสพคอนเทนต์บันเทิง หรือหาความรู้เพิ่มเติมบน YouTube
หรือใครใช้สมาร์ตโฟน Android ก็หนีไม่พ้น
จะออกเดินทางไปไหน ต้องเปิด Google Map
อยากเสพคอนเทนต์บันเทิง หรือหาความรู้เพิ่มเติมบน YouTube
หรือใครใช้สมาร์ตโฟน Android ก็หนีไม่พ้น
รวมไปถึงการทำงาน ที่อาจต้องใช้ Gmail, Google Chat หรือบริการคลาวด์ของ Google
นอกจากนี้ Google ยังมีบริษัทลูกชื่อ DeepMind บริษัทที่ทำหน้าที่วิจัยและพัฒนา AI โดยเฉพาะ
ซึ่งตอนนี้ Google กำลังโฟกัสการพัฒนา Generative AI ของตัวเอง เพื่อต่อกรกับ Microsoft โดยมี Gemini เป็นตัวชูโรง
และบริษัทบอกว่า ทิศทางต่อจากนี้ จะให้ความสำคัญการลงทุนในด้าน AI
รวมถึงนำเทคโนโลยี AI เวอร์ชันใหม่ ๆ ผนวกลงไปในผลิตภัณฑ์หลักของ Google มากขึ้น
รวมถึงนำเทคโนโลยี AI เวอร์ชันใหม่ ๆ ผนวกลงไปในผลิตภัณฑ์หลักของ Google มากขึ้น
- ผลประกอบการ 12 เดือนล่าสุด
มีรายได้ 11.3 ล้านล้านบาท กำไร 2.7 ล้านล้านบาท
มีรายได้ 11.3 ล้านล้านบาท กำไร 2.7 ล้านล้านบาท
- ราคาหุ้นล่าสุด 154.09 เหรียญ
ราคาสูงสุด 160.22 เหรียญ
ราคาต้นปี 138.17 เหรียญ
ราคาสูงสุด 160.22 เหรียญ
ราคาต้นปี 138.17 เหรียญ
- ย่อมาแล้ว -3.8% จากจุดสูงสุด
แต่ยังขึ้นจากต้นปี 11.5%
แต่ยังขึ้นจากต้นปี 11.5%
ซึ่งราคาหุ้นตอนนี้ กำลังถูกซื้อขายกันที่ P/E 26.6 เท่า เมื่อเทียบกับกำไร 12 เดือนล่าสุด
3. Meta Platforms (META)
ถ้าเรากำลังอ่านบทความนี้ผ่าน Facebook หรือ Instagram แสดงว่าเรากำลังใช้แพลตฟอร์มที่บริษัทแห่งนี้เป็นเจ้าของอยู่ ซึ่งรวมไปถึง Messenger, WhatsApp
ซึ่ง Meta มีจำนวนผู้ใช้งานแพลตฟอร์มต่าง ๆ ในเครือรวมกันอยู่ 3,980 ล้านบัญชี
ซึ่ง Meta มีจำนวนผู้ใช้งานแพลตฟอร์มต่าง ๆ ในเครือรวมกันอยู่ 3,980 ล้านบัญชี
ในปีที่แล้ว Meta บอกว่าจะหันมาโฟกัสกับการลงทุนด้าน AI มากขึ้น ควบคู่ไปกับธุรกิจ Metaverse เพื่อสร้างการเติบโตต่อไป
และล่าสุด เมื่อวันก่อน บริษัทก็ได้เปิดตัว “Meta AI”
เทคโนโลยี AI ที่ใส่บน Facebook, Instagram, WhatsApp, Messenger, Ray-Ban Meta, Meta Quest
เทคโนโลยี AI ที่ใส่บน Facebook, Instagram, WhatsApp, Messenger, Ray-Ban Meta, Meta Quest
ซึ่งจะเป็นดั่งผู้ช่วยอัจฉริยะ ที่เราสามารถถามคำถาม หรืออยากค้นหาอะไร มันก็จะช่วยหาคำตอบให้
อีกทั้งสามารถช่วยเราสร้างรูปภาพได้แบบเรียลไทม์ และยังสามารถเปลี่ยนแปลงจากภาพนิ่ง เป็น ภาพเคลื่อนไหว ได้ด้วย
อีกทั้งสามารถช่วยเราสร้างรูปภาพได้แบบเรียลไทม์ และยังสามารถเปลี่ยนแปลงจากภาพนิ่ง เป็น ภาพเคลื่อนไหว ได้ด้วย
- ผลประกอบการ 12 เดือนล่าสุด
มีรายได้ 5.0 ล้านล้านบาท กำไร 1.4 ล้านล้านบาท
มีรายได้ 5.0 ล้านล้านบาท กำไร 1.4 ล้านล้านบาท
- ราคาหุ้นล่าสุด 481.07 เหรียญ
ราคาสูงสุด 531.49 เหรียญ
ราคาต้นปี 346.29 เหรียญ
ราคาสูงสุด 531.49 เหรียญ
ราคาต้นปี 346.29 เหรียญ
- ย่อมาแล้ว -9.5% จากจุดสูงสุด
แต่ยังขึ้นจากต้นปี 38.9%
แต่ยังขึ้นจากต้นปี 38.9%
ซึ่งราคาหุ้นตอนนี้ กำลังถูกซื้อขายกันที่ P/E 32.4 เท่า เมื่อเทียบกับกำไร 12 เดือนล่าสุด
4. Nvidia (NVDA)
หนึ่งในหุ้นที่ร้อนแรงสุดแห่งปี จากการบูมของยุค AI
โดยธุรกิจของ NVIDIA พัฒนาและออกแบบชิปประมวลผลเป็นหลัก และมีรายได้มาจาก
ธุรกิจศูนย์ข้อมูล 78%
ธุรกิจการ์ดจอเกม 17%
อื่น ๆ เช่น กราฟิก และยานยนต์ อีก 5%
โดยธุรกิจของ NVIDIA พัฒนาและออกแบบชิปประมวลผลเป็นหลัก และมีรายได้มาจาก
ธุรกิจศูนย์ข้อมูล 78%
ธุรกิจการ์ดจอเกม 17%
อื่น ๆ เช่น กราฟิก และยานยนต์ อีก 5%
เมื่อก่อนรายได้หลักของบริษัท จะมาจากการ์ดจอเกม แต่ตอนนี้ เปลี่ยนเป็นศูนย์ข้อมูลแทน แถมธุรกิจนี้ก็กำลังเติบโตอย่างก้าวกระโดด เพราะได้อานิสงส์จากการที่บริษัทเทคโนโลยีทั่วโลก อยากทำ AI และต้องการชิปประผลมวลที่จะทำให้ AI ทำงานได้ฉลาด รวดเร็ว และมีประสิทธิภาพ ซึ่ง Nvidia เป็นผู้นำในด้านนี้
โดยลูกค้ารายใหญ่ที่สุดของ Nvidia ก็คือบริษัทเทคยักษ์ใหญ่ เช่น Amazon.com, Meta Platforms, Microsoft และ Google ซึ่งคิดเป็นสัดส่วนเกือบ 40% ของรายได้ทั้งหมด ซึ่งบริษัทเหล่านี้ ต่างกำลังเร่งลงทุนในฮาร์ดแวร์สำหรับการประมวลผล AI
- ผลประกอบการ 12 เดือนล่าสุด
มีรายได้ 2.2 ล้านล้านบาท กำไร 1.1 ล้านล้านบาท
มีรายได้ 2.2 ล้านล้านบาท กำไร 1.1 ล้านล้านบาท
- ราคาหุ้นล่าสุด 762.00 เหรียญ
ราคาสูงสุด 974.00 เหรียญ
ราคาต้นปี 481.68 เหรียญ
ราคาสูงสุด 974.00 เหรียญ
ราคาต้นปี 481.68 เหรียญ
- ย่อมาแล้ว -21.8% จากจุดสูงสุด
แต่ยังขึ้นจากต้นปี 58.2%
แต่ยังขึ้นจากต้นปี 58.2%
ซึ่งราคาหุ้นตอนนี้ กำลังถูกซื้อขายกันที่ P/E 63.7 เท่า เมื่อเทียบกับกำไร 12 เดือนล่าสุด
5. Broadcom (AVGO)
ชื่อนี้หลายคนอาจไม่คุ้นหูเท่าไร แต่ต้องบอกว่า บริษัทแห่งนี้เป็นม้ามืดแห่งวงการชิป
โดย Broadcom เป็นหนึ่งในบริษัทเซมิคอนดักเตอร์ที่ใหญ่สุดในโลก และมีบทบาทสำคัญในอุตสาหกรรมเทคโนโลยี
โดย Broadcom เป็นหนึ่งในบริษัทเซมิคอนดักเตอร์ที่ใหญ่สุดในโลก และมีบทบาทสำคัญในอุตสาหกรรมเทคโนโลยี
Broadcom มีธุรกิจอยู่ 2 ส่วนหลัก ๆ นั่นคือ
ธุรกิจเซมิคอนดักเตอร์ (มีสัดส่วนรายได้ 79%)
ธุรกิจโครงสร้างพื้นฐานด้านซอฟต์แวร์ (มีสัดส่วนรายได้ 21%)
ธุรกิจเซมิคอนดักเตอร์ (มีสัดส่วนรายได้ 79%)
ธุรกิจโครงสร้างพื้นฐานด้านซอฟต์แวร์ (มีสัดส่วนรายได้ 21%)
โดย Broadcom จะทำธุรกิจรับออกแบบและพัฒนาผลิตภัณฑ์ แล้วส่ง Outsource ว่าจ้างให้โรงงานข้างนอกผลิตให้อีกทีหนึ่ง
ตัวอย่างผลิตภัณฑ์ของบริษัทก็เช่น ชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์ชื่อ 5G Radio Switch ที่จะช่วยประมวลผลให้สมาร์ตโฟนหรือแท็บเล็ต สามารถปรับความถี่ เพื่อให้รับข้อมูลในรูปแบบของสัญญาณ 5G ได้
และชิป ASIC (Application Specific Integrated Circuit) หรือวงจรชิปความเร็วสูง ที่ถูกออกแบบมาเพื่อใช้สำหรับงานใดงานหนึ่งโดยเฉพาะ จึงมีประสิทธิภาพที่เหนือกว่า ชิปประมวลผล CPU และ GPU
เช่น ไว้เป็นชิปประมวลผลสำหรับ Data Storage หรือ Cloud Center เอาไว้ใช้กับ AI หรือ Machine Learning ไปจนถึงการนำเครื่องที่มีชิป ASIC ไปทำเหมืองขุดบิตคอยน์
- ผลประกอบการ 12 เดือนล่าสุด
มีรายได้ 1.4 ล้านล้านบาท กำไร 0.4 ล้านล้านบาท
มีรายได้ 1.4 ล้านล้านบาท กำไร 0.4 ล้านล้านบาท
- ราคาหุ้นล่าสุด 1,204.71 เหรียญ
ราคาสูงสุด 1,438.17 เหรียญ
ราคาต้นปี 1,085.38 เหรียญ
ราคาสูงสุด 1,438.17 เหรียญ
ราคาต้นปี 1,085.38 เหรียญ
- ย่อมาแล้ว -16.2% จากจุดสูงสุด
แต่ยังขึ้นจากต้นปี 11.0%
แต่ยังขึ้นจากต้นปี 11.0%
ซึ่งราคาหุ้นตอนนี้ กำลังถูกซื้อขายกันที่ P/E 44.7 เท่า เมื่อเทียบกับกำไร 12 เดือนล่าสุด
6. ASML Holding (ASML)
ASML นับว่าเป็นบริษัทกระดูกสันหลัง ของอุตสาหกรรมชิป
เพราะ ASML เป็นผู้นำในการผลิตเครื่องจักร ที่ใช้สำหรับพิมพ์ลายวงจรอิเล็กทรอนิกส์ขนาดเล็ก บนเวเฟอร์ซิลิคอน ซึ่งเป็นขั้นตอนสำคัญในกระบวนการผลิตชิปเซมิคอนดักเตอร์ ที่อยู่ในคอมพิวเตอร์ สมาร์ตโฟน ไปจนถึงอุปกรณ์ที่เกี่ยวกับ AI
เพราะ ASML เป็นผู้นำในการผลิตเครื่องจักร ที่ใช้สำหรับพิมพ์ลายวงจรอิเล็กทรอนิกส์ขนาดเล็ก บนเวเฟอร์ซิลิคอน ซึ่งเป็นขั้นตอนสำคัญในกระบวนการผลิตชิปเซมิคอนดักเตอร์ ที่อยู่ในคอมพิวเตอร์ สมาร์ตโฟน ไปจนถึงอุปกรณ์ที่เกี่ยวกับ AI
ที่สำคัญ ASML เป็นเจ้าเดียวในตอนนี้ ที่สามารถผลิตเครื่องพิมพ์ลาย ที่ใช้เทคโนโลยีขั้นสูงอย่าง EUV (Extreme Ultraviolet Lithography) ได้ ซึ่งจำเป็นสำหรับการผลิตชิปที่มีความซับซ้อนสูง
ทำให้บริษัทผู้ผลิตชิป จำเป็นต้องมีเครื่องจักรสำหรับพิมพ์ลายของ ASML โดยลูกค้าของ ASML ก็มีตั้งแต่ TSMC, Samsung และ Intel เป็นต้น
และราคาเครื่องจักรที่ใช้สำหรับการผลิตชิปเหล่านี้ จะมีตั้งแต่หลักพันล้าน ไปจนถึงระดับหมื่นล้านบาท..
และราคาเครื่องจักรที่ใช้สำหรับการผลิตชิปเหล่านี้ จะมีตั้งแต่หลักพันล้าน ไปจนถึงระดับหมื่นล้านบาท..
สำหรับโครงสร้างรายได้ของ ASML
มาจากการขายเครื่องผลิตชิป 80% และค่าบริการหลังการขายอีก 20%
มาจากการขายเครื่องผลิตชิป 80% และค่าบริการหลังการขายอีก 20%
- ผลประกอบการ 12 เดือนล่าสุด
มีรายได้ 1.1 ล้านล้านบาท กำไร 0.3 ล้านล้านบาท
มีรายได้ 1.1 ล้านล้านบาท กำไร 0.3 ล้านล้านบาท
- ราคาหุ้นล่าสุด 859.54 เหรียญ
ราคาสูงสุด 1,056.34 เหรียญ
ราคาต้นปี 716.92 เหรียญ
ราคาสูงสุด 1,056.34 เหรียญ
ราคาต้นปี 716.92 เหรียญ
- ย่อมาแล้ว -18.6% จากจุดสูงสุด
แต่ยังขึ้นจากต้นปี 19.9%
แต่ยังขึ้นจากต้นปี 19.9%
ซึ่งราคาหุ้นตอนนี้ กำลังถูกซื้อขายกันที่ P/E 44.7 เท่า เมื่อเทียบกับกำไร 12 เดือนล่าสุด
7. TSMC (TSM)
TSMC คือผู้ผลิตชิปเซมิคอนดักเตอร์ รายใหญ่ที่สุดของโลก
โดย TSMC ไม่ได้ออกแบบชิปเอง แต่ทำหน้าที่รับจ้างผลิตชิปตามแบบที่ลูกค้าออกแบบมา ตั้งแต่ชิปสำหรับสมาร์ตโฟน, แท็บเล็ต, คอมพิวเตอร์, Data Center, การ์ดจอ, ชิปประมวลผล AI เป็นต้น
โดย TSMC ไม่ได้ออกแบบชิปเอง แต่ทำหน้าที่รับจ้างผลิตชิปตามแบบที่ลูกค้าออกแบบมา ตั้งแต่ชิปสำหรับสมาร์ตโฟน, แท็บเล็ต, คอมพิวเตอร์, Data Center, การ์ดจอ, ชิปประมวลผล AI เป็นต้น
ซึ่งบริษัทเทคโนโลยีระดับโลก เช่น Apple, Qualcomm, Nvidia, AMD, Broadcom ต่างก็เป็นลูกค้าของ TSMC
โดยสัดส่วนรายได้ของ TSMC จะมาจาก
ชิปสำหรับการประมวลผลคอมพิวเตอร์ขั้นสูง 46%
สมาร์ตโฟน 38%
IoT 6%
ยานยนต์ 6%
อื่น ๆ 4%
ชิปสำหรับการประมวลผลคอมพิวเตอร์ขั้นสูง 46%
สมาร์ตโฟน 38%
IoT 6%
ยานยนต์ 6%
อื่น ๆ 4%
หนึ่งในจุดแข็งของ TSMC คือ สามารถผลิตชิปที่มีความซับซ้อนสูงมาก เช่น ระดับ 3 นาโนเมตร และ 5 นาโนเมตร ได้อย่างแม่นยำและมีประสิทธิภาพ
และ TSMC เป็นอีกธุรกิจที่ได้อานิสงส์จากการเติบโตของอุตสาหกรรม AI ที่บริษัทต่าง ๆ เร่งพัฒนาชิป และต้องการชิปประมวลผลขั้นสูง มากขึ้น
และ TSMC เป็นอีกธุรกิจที่ได้อานิสงส์จากการเติบโตของอุตสาหกรรม AI ที่บริษัทต่าง ๆ เร่งพัฒนาชิป และต้องการชิปประมวลผลขั้นสูง มากขึ้น
- ผลประกอบการ 12 เดือนล่าสุด
มีรายได้ 2.4 ล้านล้านบาท กำไร 1.0 ล้านล้านบาท
มีรายได้ 2.4 ล้านล้านบาท กำไร 1.0 ล้านล้านบาท
- ราคาหุ้นล่าสุด 127.70 เหรียญ
ราคาสูงสุด 158.40 เหรียญ
ราคาต้นปี 101.53 เหรียญ
ราคาสูงสุด 158.40 เหรียญ
ราคาต้นปี 101.53 เหรียญ
- ย่อมาแล้ว -19.4% จากจุดสูงสุด
แต่ยังขึ้นจากต้นปี 25.8%
แต่ยังขึ้นจากต้นปี 25.8%
ซึ่งราคาหุ้นตอนนี้ กำลังถูกซื้อขายกันที่ P/E 24.7 เท่า เมื่อเทียบกับกำไร 12 เดือนล่าสุด
—----------------------------------------------
คำเตือน: โพสต์นี้เป็นเพียงการนำเสนอข้อมูล ไม่ได้แนะนำให้ซื้อหรือขาย แต่อย่างใด
การลงทุนมีความเสี่ยง โปรดศึกษาข้อมูลให้ครบถ้วน ก่อนตัดสินใจลงทุน
คำเตือน: โพสต์นี้เป็นเพียงการนำเสนอข้อมูล ไม่ได้แนะนำให้ซื้อหรือขาย แต่อย่างใด
การลงทุนมีความเสี่ยง โปรดศึกษาข้อมูลให้ครบถ้วน ก่อนตัดสินใจลงทุน