หุ้น Apple ร่วง 3% ยอดขายในจีน ลดลง ยอดขายหลายสินค้า อ่อนแอ
หุ้น Apple ร่วง 3% ยอดขายในจีน ลดลง ยอดขายหลายสินค้า อ่อนแอ /โดย ลงทุนแมน
Apple ได้รายงานผลประกอบการไตรมาสล่าสุด (ต.ค. - ธ.ค. 2023)
ซึ่งถึงเป้าที่นักวิเคราะห์ประมาณการณ์ไว้ ทั้งด้านรายได้และกำไร
Apple ได้รายงานผลประกอบการไตรมาสล่าสุด (ต.ค. - ธ.ค. 2023)
ซึ่งถึงเป้าที่นักวิเคราะห์ประมาณการณ์ไว้ ทั้งด้านรายได้และกำไร
โดยไตรมาสนี้ Apple
มีรายได้ 4,225,100 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 2%
มีกำไร 1,198,400 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 13%
คิดเป็นอัตรากำไรที่สูงถึง 28%
มีรายได้ 4,225,100 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 2%
มีกำไร 1,198,400 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 13%
คิดเป็นอัตรากำไรที่สูงถึง 28%
อย่างไรก็ตาม หลังจากประกาศผลประกอบการออกมา ราคาหุ้นของ Apple กลับปรับฐานลงทันที -3% ในช่วงซื้อขายนอกเวลาทำการของตลาด หรือคิดเป็นมูลค่าบริษัทที่หายไป 3,100,000 ล้านบาท ในวันเดียว
เนื่องจากนักลงทุนกังวลกับตลาดจีน และยอดขายของบางผลิตภัณฑ์ของ Apple ที่ส่งสัญญาณอ่อนแอ
หากมาเจาะที่ตัวรายได้ ซึ่งแบ่งตามผลิตภัณฑ์ จะมีรายได้มาจาก
- iPhone 58%
- บริการ 19%
- Wearables, Home and Accessories เช่น Apple Watch และ AirPods 10%
- Mac 7%
- iPad 6%
- iPhone 58%
- บริการ 19%
- Wearables, Home and Accessories เช่น Apple Watch และ AirPods 10%
- Mac 7%
- iPad 6%
แต่น่าสนใจยิ่งขึ้น หากไปดูที่อัตราการเปลี่ยนแปลงของรายได้ เมื่อเทียบกับปีก่อนหน้า
- iPhone เพิ่มขึ้น 6%
- บริการ เพิ่มขึ้น 11%
- Wearables, Home and Accessories ลดลง 11%
- Mac เพิ่มขึ้น 0.6%
- iPad ลดลง 25%
- บริการ เพิ่มขึ้น 11%
- Wearables, Home and Accessories ลดลง 11%
- Mac เพิ่มขึ้น 0.6%
- iPad ลดลง 25%
จะเห็นว่า iPhone ยังคงเติบโตได้ ซึ่งปัจจัยหลักมาจากดีมานต์ของ iPhone 15 ที่สูงในไตรมาสนี้
ส่วนของบริการ เช่น App Store, บริการคลาวด์, Apple Pay, Apple Music, Apple TV
ก็ยังคงรักษาระดับการเติบโตแบบ Double digit เอาไว้ได้อยู่
ก็ยังคงรักษาระดับการเติบโตแบบ Double digit เอาไว้ได้อยู่
อย่างไรก็ดี อัตราการเติบโตนี้ ยังถือว่าน้อยกว่าที่ผ่าน ๆ มามาก เพราะเคยเติบโตในระดับมากกว่า 20% มาโดยตลอด
นักลงทุนจึงเริ่มกังวล และเตรียมจับตาดูรายได้ส่วนนี้ในไตรมาสถัดไป
นักลงทุนจึงเริ่มกังวล และเตรียมจับตาดูรายได้ส่วนนี้ในไตรมาสถัดไป
อีกทั้งต่อไป บริการ App Store ยังต้องเผชิญกับความท้าทายในตลาดยุโรป เพราะสหภาพยุโรป ได้ออกกฎหมายฉบับใหม่ Digital Markets Act (DMA)
ที่บังคับให้ Apple ต้องอนุญาตให้นักพัฒนาสามารถเลือกผู้ให้บริการชำระค่าบริการ นอกเหนือจาก Apple ได้ เพื่อเปิดทางให้สามารถลดค่าธรรมเนียมการชำระเงินลงได้ ตั้งแต่เดือน มี.ค. 2024
แต่ส่วนที่นักลงทุนผิดหวังมากที่สุด คือ ผลิตภัณฑ์ Mac ที่แทบไม่โตเลย
รวมถึง Wearables (เช่น AirPods, Apple Watch) และ iPad ที่ลดลงเป็นเลขสองหลัก..
รวมถึง Wearables (เช่น AirPods, Apple Watch) และ iPad ที่ลดลงเป็นเลขสองหลัก..
ซึ่งหลัก ๆ มาจากดีมานต์ที่อ่อนแอของผู้บริโภค ที่สนใจซื้อน้อยลง หรือยังไม่ต้องการที่จะอัปเกรดเครื่องใหม่ในตอนนี้
ทีนี่ ลองมาดูส่วนแบ่งรายได้ของ Apple ในไตรมาสนี้ ตามภูมิภาค
- อเมริกา 42%
- ยุโรป 25%
- จีน 17%
- ญี่ปุ่น 7%
- ประเทศอื่น ๆ ในเอเชีย 9%
- ยุโรป 25%
- จีน 17%
- ญี่ปุ่น 7%
- ประเทศอื่น ๆ ในเอเชีย 9%
โดยทุกตลาดมีการเติบโตในด้านยอดขาย ยกเว้นใน “จีน” ที่ยอดขายลดลงมากถึง -13%
และสาเหตุของเรื่องนี้ ก็มีหลายปัจจัยรวม ๆ กัน เช่น
-Apple กำลังเผชิญการแข่งขันและตัวเลือกที่มากขึ้น โดยเฉพาะจากแบรนด์สมาร์ตโฟนจีน
-จีนกำลังเจอปัญหาเศรษฐกิจ ทั้งภาคอสังหาฯ, การเงิน ฯลฯ ทำให้ผู้บริโภค รัดเข็มขัดกันมากขึ้น
-ถูกหน่วยงานรัฐของจีน สั่งแบนผลิตภัณฑ์ของ Apple
-Apple กำลังเผชิญการแข่งขันและตัวเลือกที่มากขึ้น โดยเฉพาะจากแบรนด์สมาร์ตโฟนจีน
-จีนกำลังเจอปัญหาเศรษฐกิจ ทั้งภาคอสังหาฯ, การเงิน ฯลฯ ทำให้ผู้บริโภค รัดเข็มขัดกันมากขึ้น
-ถูกหน่วยงานรัฐของจีน สั่งแบนผลิตภัณฑ์ของ Apple
นอกจากนี้ Apple ยังประกาศจ่ายเงินปันผล และซื้อหุ้นคืนในไตรมาสนี้ อีกเป็นจำนวน 954,500 ล้านบาท
แต่ด้วยความกังวลทั้งหมดที่กล่าวไป ทั้งเรื่องยอดขายในบางผลิตภัณฑ์ และการหดตัวในตลาดจีน
เลยทำให้ราคาหุ้น Apple ร่วงลง -3% แม้ผลประกอบการจะออกมาตามเป้า ที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ไว้ก็ตาม
เลยทำให้ราคาหุ้น Apple ร่วงลง -3% แม้ผลประกอบการจะออกมาตามเป้า ที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ไว้ก็ตาม
อย่างไรก็ตาม Apple ยังมีอีกหนึ่งความหวังใหญ่ ที่อาจมาช่วยสร้างการเติบโต และเป็น New S-Curve ให้กับบริษัทอีกครั้ง
นั่นคือ “Apple Vision Pro” แว่น AR/VR อัจฉริยะ
ที่ได้เสียงตอบรับค่อนข้างดี จนไม่กี่วัน หลังเปิดให้จอง ก็มียอดพรีออร์เดอร์ในสหรัฐฯ กว่า 180,000 เครื่อง
คิดเป็นรายได้เข้ากระเป๋ามากกว่า 20,000 ล้านบาท
คิดเป็นรายได้เข้ากระเป๋ามากกว่า 20,000 ล้านบาท
ซึ่งก็ต้องดูกันต่อไปว่า ในตลาดนอกสหรัฐฯ Apple Vision Pro จะได้รับความนิยมมากน้อยแค่ไหน
และจะทำให้ Apple สามารถก้าวเดินไปสู่ยุคใหม่ ได้จริง ๆ หรือไม่..
และจะทำให้ Apple สามารถก้าวเดินไปสู่ยุคใหม่ ได้จริง ๆ หรือไม่..
Tag: apple