นักลงทุนหุ้นไทย กำลังหมดใจ และย้ายประเทศ
นักลงทุนหุ้นไทย กำลังหมดใจ และย้ายประเทศ /โดย ลงทุนแมน
“สุดท้ายแล้ว คนที่ลงทุนในประเทศไทยต่อไป ค่าเสียโอกาสจะมากขึ้น และมากขึ้น..” นี่คือประโยคที่ทำให้คนอ่านต้องหยุดคิด
“สุดท้ายแล้ว คนที่ลงทุนในประเทศไทยต่อไป ค่าเสียโอกาสจะมากขึ้น และมากขึ้น..” นี่คือประโยคที่ทำให้คนอ่านต้องหยุดคิด
โดยข้อความนี้อยู่ในจดหมายแจ้งปิดกองทุนต้นโพธิ์ ซึ่งกองทุนนี้เคยโฟกัสในประเทศไทย และเคยทำผลตอบแทนได้เป็น 1,000%
ในวันนี้กองทุนนี้ถอดใจ หมดใจ กับประเทศไทย
ประเทศไทยเคยเป็นประเทศที่กองทุนนี้เคยหลงรัก และมีความเชื่อเป็นอย่างยิ่งว่าประเทศไทยจะเป็นสถานที่ที่ให้ผลตอบแทนอย่างงดงาม
แต่ทุกวันนี้ ประเทศไทยไม่เหมือนเดิมแล้ว
แล้วเหตุผลที่กองทุนนี้อธิบาย เป็นเพราะอะไรบ้าง ?
ลงทุนแมนจะเล่าให้ฟัง..
แล้วเหตุผลที่กองทุนนี้อธิบาย เป็นเพราะอะไรบ้าง ?
ลงทุนแมนจะเล่าให้ฟัง..
ช่วงนี้มีข่าวใหญ่ที่แพร่สะพัดในวงการลงทุนของไทย คือการปิดตัวลงของกองทุนต้นโพธิ์ ซึ่งเป็นกองทุน Hedge Fund ที่เน้นลงทุนในตลาดหุ้นไทย โดยมีคุณ อธิไกร จาติกวณิช หรือคุณจี๊ป ที่เป็นทั้งผู้ก่อตั้งและผู้จัดการกองทุน
ที่ผ่านมากองทุนนี้เคยทำผลตอบแทนได้อย่างมหาศาลในระดับ 1,000%
แต่ในระยะหลัง กองทุนนี้พบกับปัญหาบางอย่าง ที่ทำให้กองทุนนี้ตัดสินใจปิดตัวลง โดยในจดหมายที่แจ้งการปิดตัวได้อธิบายไว้ว่า
“ตลอดหลายปีที่ผ่านมาผมรู้ว่า การที่จะบริหารเงินได้ดีต้องประกอบไปด้วย 2 ปัจจัยหลัก
1. การบริหารเงินที่ดีจะทำได้ดีถ้ามีการสนับสนุนที่ดีของนักลงทุนที่ให้เงินมาบริหาร ซึ่งตรงนี้ผมได้รับมันอย่างเต็มที่
2. การบริหารเงินที่ดีจะทำได้ดีถ้ามีการสนับสนุนที่ดีจากสินทรัพย์ที่ลงทุน ถ้าประเภททรัพย์สินที่ลงทุนเป็นทรัพย์สินที่ดี การบริหารเงินก็ประสบความสำเร็จ แต่ในตอนนี้ หุ้นไทยซึ่งเป็นสินทรัพย์ที่ลงทุน กำลังเป็นสินทรัพย์ที่น่าผิดหวังมาก..
ถึงแม้ประเทศไทยที่ผ่านมาจะเผชิญปัญหาเรื่องการเมืองมาตลอด แต่ผมก็ยังเชื่อว่าหุ้นไทยจะเป็นหนึ่งในทรัพย์สินที่ดีที่สุด แต่ในความเป็นจริงแล้ว ประเทศไทยไม่ได้เป็นสถานที่ที่ดีแบบนั้น.. ไม่ได้เป็นมาสักระยะแล้ว..
และไม่มีทางเลยที่ประเทศไทยจะกลับไปสู่การเติบโตได้ แค่ให้เติบโตเหมือนในช่วง 10 ปีที่แล้ว ก็ไม่สามารถเป็นแบบนั้นได้แล้ว
2-3 ปีนี้มานี้ผมผ่านช่วงยากลำบาก และเมื่อได้มาประเมินใหม่แล้ว ในตอนนี้มีตลาดอื่น ๆ ที่น่าสนใจ และผลตอบแทนแบบ Risk-free (ซึ่งหมายถึงพันธบัตรสหรัฐฯ) ก็อยู่ในอัตราที่เหนือกว่า 4% ก็ยิ่งทำให้ความน่าดึงดูดของตลาดไทยนั้นยิ่งจืดจางลง
หลังจากการพิจารณาอย่างถี่ถ้วนแล้วผมขอตัดสินใจที่จะเลิกกองทุนและคืนเงินให้แก่ทุกคน
โดยในจดหมายยังระบุถึงความน่าสนใจที่น้อยลง
โดยมีการเทียบกับตลาดหุ้นเกิดใหม่ (ซึ่งตลาดหุ้นไทยอยู่ในกลุ่มตลาดหุ้นเกิดใหม่) กับ ตลาดหุ้น Nasdaq โดยจดหมายระบุว่า ตลาดหุ้นเกิดใหม่ตอนนี้มีแต่บริษัทที่ทำธุรกิจเก่า และไม่มีนวัตกรรม ในขณะที่ Nasdaq เป็นแหล่งรวมที่สุดของบริษัทนวัตกรรมในโลกนี้..
และถ้าถามว่าอะไรที่ทำให้ประเทศไทยมีปัญหา คำตอบก็คือ ความขัดแย้งทางการเมืองในไทย ทำให้เกิดปัญหาเชิงโครงสร้าง ที่ทำให้ประเทศไทยไม่สามารถแข่งขันได้
ภาครัฐให้อำนาจแก่บริษัทขนาดใหญ่ที่จะผูกขาด แต่ทำให้เกิดนวัตกรรมที่น้อย ซึ่งผลสุดท้ายก็ทำให้ประเทศไทยไม่สามารถแข่งขันได้
สังเกตได้ง่าย ๆ ว่าบริษัทใน SET50 ไม่ได้มีการเปลี่ยนแปลงเลย และบริษัทส่วนใหญ่ในนี้เป็นบริษัทที่ผูกขาด หรือไม่ก็ได้รับสัมปทานจากภาครัฐมา
ผมเคยมีความเชื่อเสมอว่าประเทศไทยจะเปลี่ยนตัวเองได้ แต่ในตอนนี้ผมถอดใจแล้ว และผมเชื่อว่าเลือกสินทรัพย์ลงทุนโดยแบ่งเป็นภูมิภาคนั้นล้าสมัยแล้ว..
สุดท้ายแล้ว คนที่ลงทุนในประเทศไทยต่อไป ค่าเสียโอกาสจะมากขึ้น และมากขึ้น..”
ทั้งหมดนี้เป็นเรื่องที่น่าคิด และเมื่ออ่านมาถึงตรงนี้ ทุกคนคงตกใจว่า ทำไมกองทุนที่เคยทำผลตอบแทนกับหุ้นไทยได้อย่างงดงาม ถึงเลือกที่จะปิดตัวลง
และถ้าใครได้ดูบทสัมภาษณ์ของนักลงทุนรายใหญ่ในช่วงนี้ ไม่ว่าจะเป็น หมอพงศ์ศักดิ์ หรือ ดร.นิเวศน์ ต่างก็บอกเป็นเสียงเดียวกันว่า ประเทศไทยหมดศักยภาพในการเติบโต และจะเป็นผลทำให้บริษัทในตลาดหุ้นไทยไม่น่าสนใจตามไปด้วย
หมอพงศ์ศักดิ์เปิดเผยล่าสุดว่า การเจอบริษัทไทยที่เติบโตนั้นต่างจากในยุค 10 ปีก่อนมาก ก่อนหน้านี้ที่มีแต่บริษัทที่กำลังเติบโตเต็มไปหมด ตอนนี้เหลือน้อยมากแล้ว
ดร.นิเวศน์ บอกว่าประเทศไทยไม่เหมือนเดิมแล้ว เขาสนใจในตลาดหุ้นเวียดนาม รวมไปถึง จีน และสหรัฐอเมริกา
และสิ่งที่นักลงทุนรายใหญ่หลายคนจะทำคล้าย ๆ กันก็คือ พวกเขากำลังมองหาการลงทุนในต่างประเทศ แต่จะไปแบบไม่เลือกหุ้นเป็นรายตัว พวกเขาจะเลือกลงทุนในกองทุนรวมเป็นหลัก
กลับมาที่ประเด็นของจดหมายปิดตัวกองทุนนี้
ถ้าประเทศไทยมีปัญหาเชิงโครงสร้างอย่างที่ในจดหมายนี้กล่าวจริง คำถามที่น่าสนใจต่อไปก็คือ
แล้วอะไรที่จะทำให้ประเทศไทย หลุดพ้นจากปัญหาเชิงโครงสร้างนี้ ?
แน่นอนว่าปัญหานี้คงแก้ไม่ได้ด้วยการแจกเงินคนละหมื่นบาทให้กับทุกคน แล้วหวังว่าเงินตรงนี้จะมากระตุ้นเศรษฐกิจ
แต่โจทย์ก็คือจะทำอย่างไรให้คนไทยทุกคนมีโอกาสในการทำธุรกิจ เพื่อสร้างกิจการใหม่ ๆ ที่มีนวัตกรรม หรือมีจุดเด่นที่สามารถแข่งขันได้ในตลาดโลก
ซึ่งภาครัฐก็คงรู้ว่าเรามีปัญหานี้ และมีแผนที่จะแก้ แต่ปัญหาก็คือ แผนเหล่านี้ต้องมีความเร่งด่วน และถูกทำในตอนนี้ เพื่อให้เห็นผลในวันหน้า
ในวันนี้นักลงทุนไทยกำลังหมดใจกับหุ้นไทย
และการปิดตัวลงของกองทุนต้นโพธิ์ในวันนี้ อาจเป็นเพียงสัญญาณแรกของปัญหาที่กำลังก่อตัวขึ้น ซึ่งสะท้อนสภาพเศรษฐกิจเชิงโครงสร้างของประเทศไทยทั้งหมด
จากข้อความไม่กี่บรรทัดในจดหมายเล็ก ๆ ฉบับเดียว
ทำให้เราฉุกคิดได้ว่า ประเทศไทย กำลังมีสิ่งที่ต้องทำเพื่อแก้ไขอีกมาก
ทำให้เราฉุกคิดได้ว่า ประเทศไทย กำลังมีสิ่งที่ต้องทำเพื่อแก้ไขอีกมาก
เพื่อให้เราหลุดพ้นจากคำว่า
การลงทุนในประเทศไทย จะทำให้มีค่าเสียโอกาสที่มากขึ้น และมากขึ้น..
การลงทุนในประเทศไทย จะทำให้มีค่าเสียโอกาสที่มากขึ้น และมากขึ้น..
Tag: หุ้นไทย