สรุปหุ้น KOOL พัดลมไอน้ำที่ราคาไหลเป็นน้ำ
ถ้าเราซื้อหุ้น KOOL เมื่อ 2 เดือนที่แล้ว วันนี้เราจะขาดทุนได้มากถึงครึ่งหนึ่ง ทำไมราคาถึงไหลลงมาเร็วขนาดนี้
บริษัทนี้มีชื่อเต็มๆว่า MASTERKOOL โดยจริงๆแล้วสินค้าที่บริษัทขายดีไม่ใช่พัดลมไอน้ำ แต่คือพัดลมไอเย็น
บริษัทนี้มีชื่อเต็มๆว่า MASTERKOOL โดยจริงๆแล้วสินค้าที่บริษัทขายดีไม่ใช่พัดลมไอน้ำ แต่คือพัดลมไอเย็น
พัดลมไอเย็น ต่างกับพัดลมไอน้ำอย่างไร?
พัดลมไอน้ำคือพ่นละอองน้ำ และเป่าลมให้ละอองน้ำกระจาย พัดลมแบบนี้จะมีความชื้นมาด้วย
พัดลมไอเย็นคือการเป่าลมผ่านแผ่นทำความเย็นที่จุ่มน้ำ จะทำให้ได้ความเย็นที่ความชื้นน้อยกว่า
พัดลมไอเย็นเหมาะกับสถานที่ outdoor หรือ ลูกค้าตลาดล่างที่มีกำลังไม่ถึงที่จะซื้อแอร์
พัดลมไอเย็นมียอดขายเป็นสัดส่วนถึง 79% ของบริษัท ที่เหลือเป็นพัดลมไอน้ำ และ พัดลมอุตสาหกรรม
บริษัทขายให้ลูกค้ารายย่อย 47% ลูกค้าองค์กร 29% ส่งออก 24%
โดยปีที่ผ่านมากลุ่มลูกค้าองค์กร และส่งออก เติบโตสูงกว่าลูกค้ารายย่อย
ตอนนี้กลุ่มลูกค้ารายย่อยส่วนใหญ่จะขายผ่าน Modern Trade หรือ ห้างค้าปลีก
โดยปีที่ผ่านมากลุ่มลูกค้าองค์กร และส่งออก เติบโตสูงกว่าลูกค้ารายย่อย
ตอนนี้กลุ่มลูกค้ารายย่อยส่วนใหญ่จะขายผ่าน Modern Trade หรือ ห้างค้าปลีก
ปีที่แล้วบริษัทมียอดขาย 889 ล้าน เติบโต 49% จากปีก่อนหน้า
ถ้ายอดขาย 100 บาท ต้นทุนสินค้าจะเป็น 64 บาท เหลือเป็นกำไรชั้นต้น 36 บาท ค่าใช้จ่ายในการขายและบริหาร 24 บาท หลังจากหักรายการอื่นและภาษีแล้วจะเหลือกำไรสุทธิ 10 บาท
ที่น่าสนใจคือเมื่อบริษัทมียอดขายเติบโต แต่บริษัทกลับคุมค่าใช้จ่ายได้ใกล้เคียงเดิม กำไรในปีที่แล้วจึงโตมากกว่ายอดขายมาก
พอเรื่องเป็นอย่างนี้ ในปีที่ผ่านมานักลงทุนก็เลยนิยมหุ้นตัวนี้กัน โดยราคาเพิ่มจาก 1.2 บาท เมื่อต้นปีที่แล้ว มาพีคสุดถึง 8.8 บาท เมื่อต้นปีนี้ หรือคิดเป็น 7 เด้ง
ถ้าเราลงทุนหุ้นตัวนี้ 1 ล้านบาท ผ่านไปหนึ่งปีจะเป็นมูลค่า 7 ล้านบาท!
ถ้าเราลงทุนหุ้นตัวนี้ 1 ล้านบาท ผ่านไปหนึ่งปีจะเป็นมูลค่า 7 ล้านบาท!
ปีที่แล้วบริษัทมีกำไร 87 ล้านบาท แต่ที่ราคา 8.8 บาท จะทำให้บริษัทมีมูลค่ามากถึง 4,224 ล้านบาท คิดเป็น P/E 48 เท่า
ทำไมมีคนยอมซื้อและขายกันที่ราคา 8.8 บาท?
ในมุมมองของผู้ซื้อ
นักลงทุนยอมจ่ายเงิน 48 บาท เพื่อแลกกับกำไรปีละ 1 บาท เพราะคิดว่าปีที่แล้วบริษัทรายได้โต 49% ในอนาคตบริษัทก็น่าจะได้กำไรมากกว่านี้ เติบโตสูงมากๆแบบนี้ ราคานี้ก็จะกลายเป็นราคาถูกในอนาคต ซื้อตอนนี้เลยดีกว่า
นักลงทุนยอมจ่ายเงิน 48 บาท เพื่อแลกกับกำไรปีละ 1 บาท เพราะคิดว่าปีที่แล้วบริษัทรายได้โต 49% ในอนาคตบริษัทก็น่าจะได้กำไรมากกว่านี้ เติบโตสูงมากๆแบบนี้ ราคานี้ก็จะกลายเป็นราคาถูกในอนาคต ซื้อตอนนี้เลยดีกว่า
ในมุมมองของผู้ขาย
นักลงทุนยอมได้เงิน 48 บาทตอนนี้ เพราะถ้าในอนาคตได้กำไรปีละ 1 บาท ต้องยอมทนไปอีก 48 ปี ถึงจะได้เงิน 48 บาท ขายตอนนี้ดีกว่า
นักลงทุนยอมได้เงิน 48 บาทตอนนี้ เพราะถ้าในอนาคตได้กำไรปีละ 1 บาท ต้องยอมทนไปอีก 48 ปี ถึงจะได้เงิน 48 บาท ขายตอนนี้ดีกว่า
แล้วใครคิดถูก?
ผมก็ไม่รู้ว่าอนาคตเป็นอย่างไร ถ้าอนาคตบริษัทขายได้มากขึ้นหลายเท่า กำไรมากขึ้นกว่าเดิมหลายเท่า ผู้ซื้อก็น่าจะคิดถูก
แต่ในทางกลับกันถ้าบริษัทไม่เติบโตเหมือนที่คิดราคาก็มีโอกาสลงแบบช่วงที่ผ่านมา
แต่ในทางกลับกันถ้าบริษัทไม่เติบโตเหมือนที่คิดราคาก็มีโอกาสลงแบบช่วงที่ผ่านมา
ตอนนี้ราคาลงมาครึ่งหนึ่งทำให้มูลค่าบริษัทเหลือ 2,025 ล้านบาท P/E ลดลงมาเหลือ 23 เท่า
ถ้ามาดูเรื่องการเติบโต ก็คงต้องหันมามองความจริงเรื่องบริษัทมีจุดเด่นด้านใดบ้าง บริษัทมีคู่แข่งไหม คู่แข่งของบริษัทมีจุดเด่นด้านใดบ้าง
เวลาเราไปห้างคนทั่วไปจะเลือกสินค้าของบริษัท หรือ คู่แข่งเพราะอะไร สรุปก็คือคงต้องดู Five Force ของ Michael Porter
เวลาเราไปห้างคนทั่วไปจะเลือกสินค้าของบริษัท หรือ คู่แข่งเพราะอะไร สรุปก็คือคงต้องดู Five Force ของ Michael Porter
คู่แข่งที่น่ากลัวคือ ฮาตาริ บริษัทยักษ์ใหญ่ผู้ครองตลาดมากสุดของพัดลมที่พึ่งมาบุกตลาดพัดลมไอเย็น
การมีผู้เล่นในตลาดหลายรายอาจจะเป็นการเสริมกันโต หรือ อาจจะแข่งกันตัดราคากันก็ได้
บริษัทตั้งเป้าว่าปีนี้ยอดขายจะโตอีก 40% แต่ผู้บริหารก็ยอมรับว่าการแข่งขันในตลาดรุนแรงขึ้น
อย่างไรก็ตาม
ถึงแม้ว่าหุ้น KOOLจะลงมาเยอะแต่ที่ราคาปิดวันนี้ที่ 4.22 บาท ก็ยังเป็นราคาที่อยู่ในระดับเดียวกับ 3-6 เดือนก่อนหน้านี้ และยังอยู่สูงกว่าต้นปีที่แล้วที่ 1.2 บาท ถึง 3 เท่า