นาอูรู ประเทศที่ ประชากรเคยรวยสุดในโลก เพราะขายขี้นก

นาอูรู ประเทศที่ ประชากรเคยรวยสุดในโลก เพราะขายขี้นก

นาอูรู ประเทศที่ ประชากรเคยรวยสุดในโลก เพราะขายขี้นก /โดย ลงทุนแมน
รู้หรือไม่ว่า “ขี้นก” เคยทำให้ประเทศหนึ่งรวยระเบิด
จากเกาะห่างไกลที่อยู่อย่างเงียบสงบ แต่เมื่อมีการพบทรัพยากรธรรมชาติมีค่า ชื่อว่า “ขี้นก”
ก็ได้ทำให้ นาอูรู ประเทศเล็ก ๆ ที่อยู่กลางมหาสมุทรแปซิฟิกรวยขึ้น จนในช่วงหนึ่งคนมีกิน มีใช้ สบายกันทั้งประเทศ
แล้ว “ขี้นก” ทำให้ นาอูรู รวยขึ้นมาได้อย่างไร ?
ลงทุนแมนจะเล่าให้ฟัง
╔═══════════╗
ภาวะเงินเฟ้อ ตลาดผันผวนแบบนี้ ติดตามข่าวเศรษฐกิจแบบเน้น ๆ จากหลายเพจได้ใน Blockdit - คอนเทนต์แพลตฟอร์มที่มีผู้ใช้งานเป็นประจำ 2 ล้านคน ลองใช้ฟรี blockdit.com/download
╚═══════════╝
นาอูรู เป็นประเทศที่เป็นเกาะ มีขนาดเล็กกว่าสนามบินสุวรรณภูมิของบ้านเรา ตั้งอยู่ในมหาสมุทรแปซิฟิก ทางทิศตะวันออกเฉียงเหนือของประเทศออสเตรเลีย
นาอูรู ไม่เคยเป็นที่รู้จักของชาวโลก จนกระทั่งชาวอังกฤษล่องเรือเข้ามาพบเมื่อราว 200 ปีก่อน และตั้งชื่อให้เกาะนี้ว่า “เกาะสุขสันต์” หรือ “Pleasant Island”
ด้วยธรรมชาติที่สวยงาม ชายหาดที่ขาวสวย แต่ไม่มีทรัพยากรอะไรนอกจาก ต้นมะพร้าว เกาะแห่งนี้จึงกลายเป็นเพียงแค่ทางผ่านของนักเดินเรือในแปซิฟิก
ในเวลาต่อมา นักธรณีวิทยาชาวอังกฤษได้เข้ามาทำการสำรวจที่เกาะนี้ และได้พบว่าในเกาะนี้เต็มไปด้วย “แร่ฟอสเฟตคุณภาพสูง” เต็มไปหมด
แล้วฟอสเฟต สำคัญอย่างไร ?
ถ้าหากเราเคยเรียนวิทยาศาสตร์พื้นฐานตอนเด็ก แร่ธาตุอาหารสำคัญของพืชที่ใช้ทำปุ๋ย จะประกอบด้วย 3 อย่าง คือ
- ไนโตรเจน (N)
- ฟอสฟอรัส (P)
- โพแทสเซียม (K)
ซึ่งฟอสเฟตก็คือรูปแบบของฟอสฟอรัสแบบหนึ่ง กลายเป็นว่าเกาะแห่งนี้เต็มไปด้วยปุ๋ยฟอสฟอรัสชั้นเยี่ยมนั่นเอง
โดยแร่ดังกล่าว ล้วนมาจาก “ขี้นก” ด้วยความที่เกาะสุขสันต์แห่งนี้มีนกอาศัยอยู่จำนวนมาก และเป็นทางผ่านเส้นทางการบินของนก ทำให้เกาะแห่งนี้มีขี้นกกองสะสมนานหลายพันปี จนกลายเป็นภูเขาขนาดใหญ่
ซึ่งขี้นกเหล่านี้ มีองค์ประกอบของฟอสเฟตอยู่จำนวนมาก คล้าย ๆ กับกรณีของบ้านเราที่ใช้ปุ๋ยขี้ค้างคาว
หลังจากนั้นไม่นาน ชาวตะวันตกจึงเริ่มเข้ามาล่าอาณานิคมบนเกาะแห่งนี้
โดยชาติที่เข้ามาปกครองในช่วงแรกก็คือ ประเทศเยอรมนี โดยได้สร้างชุมชนเหมือง และท่าเรือขนาดใหญ่ขึ้นบนเกาะ เพื่อส่งปุ๋ยเหล่านี้กลับไปใช้ในไร่นาของตัวเอง
ต้องบอกว่าในช่วงเวลานั้นปุ๋ยมีความสำคัญมาก เนื่องจากเป็นช่วงที่จำนวนประชากรโลกกำลังโตขึ้นอย่างรวดเร็ว
ทุกชาติต้องเร่งเพิ่มผลผลิตทางการเกษตร เพื่อมาตอบสนองความต้องการอาหารที่เพิ่มขึ้นหลายเท่าตัว
หลังจากนั้นเกาะนี้ ก็ถูกเปลี่ยนมือในฐานะแหล่งทรัพยากรปุ๋ยสำคัญเรื่อยมา
โดยในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 1 ที่ประเทศเยอรมนีกำลังยุ่งวุ่นวายกับสมรภูมิในยุโรปนั้น ประเทศออสเตรเลียก็สบโอกาสเข้ามายึดเกาะแห่งนี้ เพื่อเอาปุ๋ยไปใช้ในอาณานิคมของตัวเอง และส่งไปขายยังประเทศอังกฤษและนิวซีแลนด์
พอมาช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 ญี่ปุ่นที่เล็งเกาะนี้มานาน ก็เข้ามายึดเกาะนี้ ก่อนที่จะแพ้สงคราม แล้วต้องคืนกลับไปให้ออสเตรเลีย
ในช่วงที่อยู่ภายใต้การปกครองของทั้งสองประเทศนี้เอง มีการตั้งแคมป์แรงงานและขุดทรัพยากรแร่ฟอสเฟตเหล่านี้ออกไปเป็นจำนวนมาก จนพื้นที่ที่ดินของ นาอูรู นั้นเสียหาย และปนเปื้อนจนไม่สามารถทำอะไรได้ไปทั้งเกาะ
ส่วนประชากรท้องถิ่นนั้นก็ถูกปราบปราม หรือบังคับใช้แรงงานจนบาดเจ็บล้มตายไปมากกว่าครึ่งหนึ่ง
จนในปี 1968 นาอูรู ก็ได้รับเอกราช กลายมาเป็นประเทศของตัวเอง
ด้วยพื้นที่ที่ถูกทำลายไปมาก ประชากรที่เหลืออยู่น้อย สิ่งเดียวที่ประเทศเล็ก ๆ แห่งนี้ยังคงทำได้ ก็คือ การขุดแร่ฟอสเฟตนี้ขึ้นมาขายต่อเหมือนเดิม
เพียงแต่คราวนี้ รายได้กลับมาเข้ากระเป๋าคนนาอูรูเต็ม ๆ ในปี 1981 รายได้เฉลี่ยต่อหัวของคนนาอูรู อยู่ที่ 945,000 บาทต่อคนต่อปี ถือว่าสูงที่สุดในโลก ณ ขณะนั้น
หรือมากกว่าคนอเมริกันที่มีรายได้เฉลี่ยต่อหัว อยู่ที่ 490,000 บาทต่อคนต่อปี เกือบเท่าหนึ่ง
คนนาอูรูในช่วงนั้น เริ่มหันมาใช้ชีวิตหรูหรา ฟู่ฟ่า หลายคนเลิกทำงาน ใช้ชีวิตอยู่ได้สบาย ๆ จากสิทธิส่วนแบ่งในเหมืองขี้นก
ถนนเล็ก ๆ รอบเกาะเต็มไปด้วยรถสปอร์ตหรูจากยุโรป ที่สามารถวิ่งวนครบทั้งเกาะได้ในเวลาไม่กี่นาที
แต่ฝันนี้ก็อยู่ได้ไม่นาน เพียงไม่กี่สิบปี แร่ฟอสเฟตของชาวนาอูรูเริ่มเหลือน้อยลง
แทนที่ชาวนาอูรูจะหันไปกระจายความเสี่ยงด้วยการลงทุนในธุรกิจอื่น ๆ เหมือนชาติอื่น ที่ร่ำรวยจากการขุดทรัพยากรธรรมชาติ อย่างบางประเทศในตะวันออกกลางที่ใช้รายได้จากการผลิตน้ำมันไปพัฒนาธุรกิจต่าง ๆ ทั้งการท่องเที่ยว กีฬา และการเงิน
แต่ชาวนาอูรูที่พื้นที่ตอนนี้เหลือให้อยู่อาศัยเพียงแค่ไม่ถึง 20% ของทั้งเกาะ ไม่มีพื้นที่ทำการเกษตร กลับไม่ค่อยมีตัวเลือกมากนัก
ในปี 2002 ธนาคารกลางนาอูรูล้มละลาย ตึกและเครื่องบินของนาอูรูที่อยู่ในต่างประเทศถูกยึด คนในประเทศว่างงาน 90%
จากประเทศที่คนเคยรวยมาก จนไม่ค่อยทำงานกัน นั่งกินส่วนแบ่งจาก เหมืองขี้นก สบาย ๆ ก็กลายเป็นว่าทุกคนเริ่มจนลง
นาอูรู ต้องยอมสร้างสถานที่ลี้ภัยสำหรับผู้ลี้ภัยจากตะวันออกกลางให้ประเทศออสเตรเลีย แลกกับเงินค่าจ้างรายปี กับเงินช่วยเหลืออื่น ๆ และกลายเป็นประเทศที่มีขนาดเศรษฐกิจเล็กที่สุดเป็นอันดับ 3 ของโลก..
มาถึงตรงนี้ เราคงได้เห็นว่า จากประเทศที่เคยอยู่อย่างเรียบง่าย มาร่ำรวยแบบสุด ๆ จากทรัพยากรที่ไม่เคยมีใครเห็นคุณค่า
แต่เมื่อได้มาแล้วไม่รู้จักบริหารจัดการ และวางแผนกระจายความเสี่ยง เพื่อรองรับวันที่ขุมทรัพย์ในประเทศหมดลง ก็ต้องพบกับความยากลำบากในที่สุด..
╔═══════════╗
ภาวะเงินเฟ้อ ตลาดผันผวนแบบนี้ ติดตามข่าวเศรษฐกิจแบบเน้น ๆ จากหลายเพจได้ใน Blockdit - คอนเทนต์แพลตฟอร์มที่มีผู้ใช้งานเป็นประจำ 2 ล้านคน ลองใช้ฟรี blockdit.com/download
╚═══════════╝
ติดตามลงทุนแมนได้ที่
Website - longtunman.com
Blockdit - blockdit.com/longtunman
Facebook - facebook.com/longtunman
Twitter - twitter.com/longtunman
Instagram - instagram.com/longtunman
YouTube - youtube.com/longtunman
TikTok - tiktok.com/@longtunman
Spotify - open.spotify.com/show/4jz0qVn1AL7tRMHiTvMbZH
Apple Podcasts - podcasts.apple.com/th/podcast/ลงทุนแมน/id1543162829
Soundcloud - soundcloud.com/longtunman
References
-https://www.theguardian.com/world/2018/sep/04/corruption-incompetence-and-a-musical-naurus-riches-to-rags-tale
-https://thereader.mitpress.mit.edu/dark-history-nauru/#:~:text=Below%20the%20sprinkling%20of%20primary,as%2020%20million%20metric%20tons.
-How the World's Richest Country Lost 90% of its GDP / Youtube ช่อง Economics Explained
© 2024 Longtunman. All rights reserved. Privacy Policy.
Blockdit Icon