ทำไมผ่อนบ้านช่วงแรก เงินต้นแทบไม่ลด เป็นสิ่งที่ถูกต้องอยู่แล้ว
ทำไมผ่อนบ้านช่วงแรก เงินต้นแทบไม่ลด เป็นสิ่งที่ถูกต้องอยู่แล้ว /โดย ลงทุนแมน
ถ้ามีคนมายืมเงินเรา 10,000,000 บาท ถ้าเราคิดดอกเบี้ยคนที่มายืม 5.5% ต่อปี แปลว่าเมื่อครบ 1 ปี เขาจะต้องจ่ายดอกเบี้ย 550,000 บาท พร้อมกับคืนเงินต้นทั้งหมด ซึ่งแปลว่าเขาต้องหาเงินมาจ่ายคืน 10,550,000 บาท ถ้าดูตัวอย่างแบบนี้ก็ดูตรงไปตรงมาดี
แต่ในกรณีถ้าเรากู้ซื้อบ้านมูลค่า 10,000,000 บาท อัตราดอกเบี้ย 5.5% ต่อปี ทั้งหมด 360 งวด
เราจะต้องผ่อนธนาคารงวดละ 56,800 บาทต่อเดือน โดยตัวเลขนี้คำนวณมาจากระยะเวลาของการกู้ ซึ่งเราจะผ่อนทั้งเงินต้นและดอกเบี้ยครบที่จำนวน 360 งวดพอดี ซึ่งถ้าเราเลือกระยะเวลาผ่อนสั้นกว่านี้ จำนวนเงินที่ต้องผ่อนต่อเดือนก็จะมากขึ้น
เราจะต้องผ่อนธนาคารงวดละ 56,800 บาทต่อเดือน โดยตัวเลขนี้คำนวณมาจากระยะเวลาของการกู้ ซึ่งเราจะผ่อนทั้งเงินต้นและดอกเบี้ยครบที่จำนวน 360 งวดพอดี ซึ่งถ้าเราเลือกระยะเวลาผ่อนสั้นกว่านี้ จำนวนเงินที่ต้องผ่อนต่อเดือนก็จะมากขึ้น
ถ้าเราผ่อนไปสัก 12 งวด รวมเป็นเงิน 681,600 บาท
เงินต้น จะถูกตัดไปเพียง 134,968 บาท ที่เหลือจะเป็นการผ่อนดอกเบี้ยเป็นจำนวน 546,632 บาท
เงินต้น จะถูกตัดไปเพียง 134,968 บาท ที่เหลือจะเป็นการผ่อนดอกเบี้ยเป็นจำนวน 546,632 บาท
ซึ่งถ้าเราดูจากทั้ง 2 ตัวอย่าง
1. มีคนมายืมเงินเรา เขาต้องจ่ายดอกเบี้ย 550,000 บาท
2. เราไปกู้ซื้อบ้าน เราต้องจ่ายดอกเบี้ย 546,632 บาท
1. มีคนมายืมเงินเรา เขาต้องจ่ายดอกเบี้ย 550,000 บาท
2. เราไปกู้ซื้อบ้าน เราต้องจ่ายดอกเบี้ย 546,632 บาท
ดูแล้วก็เป็นการเสียดอกเบี้ยพอ ๆ กัน
แต่สิ่งที่เกิดขึ้นคือ หลายคนกลับไม่พอใจที่การกู้ซื้อบ้าน ต้องจ่ายดอกเบี้ยเกือบทั้งหมด แต่เงินต้นแทบไม่ลด
แล้วหลักการแบบเข้าใจง่าย ๆ สำหรับการผ่อนบ้านในช่วงแรกที่ทำให้ เงินต้นแทบไม่ลดลงเลย คืออะไร ? ลงทุนแมนจะเล่าให้ฟัง
สำหรับการผ่อนบ้าน มี 2 เรื่องสำคัญที่เราต้องรู้
1. ดอกเบี้ยบ้าน เป็นการคิด “ลดต้นลดดอก”
หมายความว่า ดอกเบี้ยในแต่ละงวด จะถูกคิดจากเงินต้นคงเหลือจากงวดที่แล้ว
หมายความว่า ดอกเบี้ยในแต่ละงวด จะถูกคิดจากเงินต้นคงเหลือจากงวดที่แล้ว
ซึ่งหมายความว่า เมื่อเงินต้นลดลง ดอกเบี้ยก็จะลดลงด้วย
2. เงินที่เราจ่ายในแต่ละงวด จะถูกตัดเป็นดอกเบี้ยก่อน แล้วส่วนที่เหลือค่อยนำไปตัดเงินต้นทีหลัง
จากตัวอย่างในตอนแรก ที่ผ่อนงวดละ 56,800 บาท
งวดที่ 1 เงินต้นงวด คือ 10,000,000 บาท
ดอกเบี้ย 5.5% ต่อปี เราจะผ่อนดอกเบี้ยเท่ากับ 45,833 บาทต่อเดือน
ดอกเบี้ย 5.5% ต่อปี เราจะผ่อนดอกเบี้ยเท่ากับ 45,833 บาทต่อเดือน
ฉะนั้น จากยอดเงินผ่อน 56,800 ต่อเดือน
ในงวดที่ 1 จะตัดเป็นดอกเบี้ย 45,833 บาท
และนำไปตัดเงินต้น แค่ 10,967 บาทเท่านั้น
ในงวดที่ 1 จะตัดเป็นดอกเบี้ย 45,833 บาท
และนำไปตัดเงินต้น แค่ 10,967 บาทเท่านั้น
ส่วนเงินต้นคงเหลือ ก็จะเหลือ 9,989,033 บาท
และจะถูกนำไปเป็นเงินต้นงวด สำหรับคิดดอกเบี้ยในงวดที่ 2 ต่อไป
และจะถูกนำไปเป็นเงินต้นงวด สำหรับคิดดอกเบี้ยในงวดที่ 2 ต่อไป
มาดูต่อในงวดที่ 2 กันบ้าง
งวดที่ 2 เงินต้นงวดคือ 9,989,033 บาท
ดอกเบี้ยในงวดนี้ จะลดลงเป็น 45,783 บาท
และนำไปตัดเงินต้น เพิ่มขึ้นเป็น 11,017 บาท
ดอกเบี้ยในงวดนี้ จะลดลงเป็น 45,783 บาท
และนำไปตัดเงินต้น เพิ่มขึ้นเป็น 11,017 บาท
เราน่าจะพอเห็นภาพแล้วว่า ในช่วงแรก ๆ เงินต้นคงเหลือยังเยอะ ดอกเบี้ยก็เลยเยอะตาม จึงทำให้เหลือไปตัดเงินต้นในแต่ละงวดได้เพียงนิดเดียว
แต่เมื่อเวลาผ่านไป ดอกเบี้ยต่องวดก็จะลดลง และเงินต้นก็จะถูกตัดมากขึ้นเรื่อย ๆ จนหมด
แต่รู้หรือไม่ว่า กว่าที่ยอดเงินที่ผ่อนไป จะถูกตัดเป็นเงินต้นมากกว่าตัดเป็นดอกเบี้ย ก็ต้องรอจนถึงงวดที่ 210
ซึ่งในงวดที่ 210 นั้น ยอดผ่อน 56,800 บาท จะคิดเป็นดอกเบี้ย 28,280 บาท และคิดเป็นเงินต้น 28,520 บาท
ทีนี้เมื่อเรารู้แล้วว่า ที่ดอกเบี้ยในช่วงแรกสูง เพราะเงินต้นในช่วงแรกเหลือเยอะ เราสามารถทำอะไรกับเรื่องนี้ได้บ้าง ?
1. การโปะด้วยเงินก้อน จะทำให้เงินก้อนส่วนที่เกินจากดอกเบี้ยในงวดนั้น ถูกนำไปตัดเงินต้นทั้งหมด
และเมื่อเงินต้นลดลงเร็ว ดอกเบี้ยในงวดถัดไปก็น้อยลงตาม
และเมื่อเงินต้นลดลงเร็ว ดอกเบี้ยในงวดถัดไปก็น้อยลงตาม
ซึ่งการโปะตั้งแต่งวดแรก ๆ จะให้ผลดีมากกว่าการโปะในงวดหลัง
2. ในทางตรงข้าม การค้างค่างวด หรือจ่ายเพียงขั้นต่ำ นอกจากเงินต้นจะไม่ลดลงแล้ว ยอดหนี้ยังเพิ่มขึ้นด้วย เพราะดอกเบี้ยที่เราไม่จ่ายในงวดนี้ จะถูกทบเข้าไปเป็นเงินต้นในงวดต่อไป
3. พยายามหาอัตราดอกเบี้ยที่ต่ำอยู่เสมอ โดยการ
- รีไฟแนนซ์ คือ ย้ายไปผ่อนกับธนาคารอื่น เพื่อรับโปรโมชันดอกเบี้ยที่ต่ำกว่า
- รีเทนชัน คือ ผ่อนกับธนาคารเดิม แต่เจรจาขอลดดอกเบี้ยลง
- รีไฟแนนซ์ คือ ย้ายไปผ่อนกับธนาคารอื่น เพื่อรับโปรโมชันดอกเบี้ยที่ต่ำกว่า
- รีเทนชัน คือ ผ่อนกับธนาคารเดิม แต่เจรจาขอลดดอกเบี้ยลง
ซึ่งทั้งการรีไฟแนนซ์และรีเทนชัน มักจะทำกันทุก ๆ 3 ปี
แม้ว่าการกู้ธนาคารเพื่อสานฝันการมีบ้าน จะทำให้เราต้องยอมผ่อนจ่ายค่างวดเป็นเวลาหลายปี และเสียดอกเบี้ยเป็นจำนวนมาก
แต่การทำความเข้าใจวิธีการคิดดอกเบี้ย และวางแผนให้ดี ก็จะช่วยให้เราประหยัดเงินไปได้ หลักแสนถึงหลักล้านบาท ได้เหมือนกัน..