ยืนมองท้องฟ้า ไม่เป็นเช่นเคย
ยืนมองท้องฟ้า ไม่เป็นเช่นเคย / โดย ลงทุนแมน
10 ปีที่แล้ว
ท้องฟ้าของโลกวันนั้นดูมืดมน
ถ้ายังจำกันได้ ปี 2008 เป็นปีที่เกิดวิกฤตซับไพรม์
ตลาดหุ้นทั่วโลกลงถึงจุดต่ำสุด
รวมทั้งตลาดหุ้นไทย
10 ปีที่แล้ว
ท้องฟ้าของโลกวันนั้นดูมืดมน
ถ้ายังจำกันได้ ปี 2008 เป็นปีที่เกิดวิกฤตซับไพรม์
ตลาดหุ้นทั่วโลกลงถึงจุดต่ำสุด
รวมทั้งตลาดหุ้นไทย
แต่ใครจะไปคิดว่า ณ จุดนั้น คือจุดที่น่าลงทุนที่สุดในรอบ ศตวรรษ
เรามาดูกันว่าถ้าเราเริ่มลงทุนเมื่อ 10 ปีที่แล้ว ในแต่ละประเทศทั่วโลก
ตอนนี้จะเป็นอย่างไรบ้าง
ณ จุดที่ต่ำที่สุด
อเมริกา ดัชนี Dow Jones เคยอยู่ที่ 7,062.93 จุด
อังกฤษ ดัชนี FTSE เคยอยู่ที่ 3,830.10 จุด
ฮ่องกง ดัชนี Hang Seng เคยอยู่ที่ 12,811.57 จุด
ญี่ปุ่น ดัชนี Nikkei เคยอยู่ที่ 7,568.42 จุด
ไทย ดัชนี SET เคยอยู่ที่ 384.15 จุด
อังกฤษ ดัชนี FTSE เคยอยู่ที่ 3,830.10 จุด
ฮ่องกง ดัชนี Hang Seng เคยอยู่ที่ 12,811.57 จุด
ญี่ปุ่น ดัชนี Nikkei เคยอยู่ที่ 7,568.42 จุด
ไทย ดัชนี SET เคยอยู่ที่ 384.15 จุด
10 ปีผ่านไป..
ตอนนี้
อเมริกา ดัชนี Dow Jones มูลค่าเป็น 3.7 เท่าของ 10 ปีที่แล้ว
อเมริกา ดัชนี Dow Jones มูลค่าเป็น 3.7 เท่าของ 10 ปีที่แล้ว
อังกฤษ ดัชนี FTSE มูลค่าเป็น 2 เท่าของ 10 ปีที่แล้ว
ฮ่องกง ดัชนี Hang Seng มูลค่าเป็น 2.5 เท่าของ 10 ปีที่แล้ว
ญี่ปุ่น ดัชนี Nikkei มูลค่าเป็น 3 เท่าของ 10 ปีที่แล้ว
และที่พิเศษสุด ประเทศไทย ดัชนี SET มูลค่าเป็น 4.8 เท่าของ 10 ปีที่แล้ว
เท่ากับว่า ถ้าเราลงทุนในดัชนี SET ไป 1 ล้านบาท ในช่วงที่ตลาดกำลังแย่เมื่อ 10 ปีที่แล้ว มาปีนี้ที่ SET ทำ All-Time High เราจะมีเงิน 4.8 ล้านบาท
วันนี้ท้องฟ้าดูสดใส ต่างจาก ท้องฟ้าเมื่อ 10 ปีที่แล้ว
แต่ มันไม่ได้ง่ายอย่างนั้น..
จากประวัติศาสตร์ ตลาดหุ้นไทย และตลาดหุ้นทั่วโลก ไม่ได้ให้ผลตอบแทนที่ดีแบบนี้ไปตลอด..
นี่นับเป็นช่วง 10 ปีที่ดีที่สุดในรอบ 100 ปี ที่ตลาดหุ้นให้ผลตอบแทนที่ดีแบบต่อเนื่องติดต่อกันโดยไม่มีหยุดพัก
และใน 2-3 วันนี้ ท้องฟ้าเริ่มเปลี่ยนไปอีกครั้ง..
เมื่อคืนของเมืองไทย คนไทยอาจจะนอนไปแล้ว แต่ที่อเมริกากำลังตื่น.. ตื่นตระหนก
วันที่ 8 กุมภาพันธ์ 2018 เป็นวันที่ดัชนี Dow Jones ของอเมริกาติดลบมากสุดเป็นอันดับที่ 2 ในประวัติศาสตร์
และเมื่อรวมทั้งสัปดาห์ ดัชนีได้ติดลบไปแล้วมากถึง 10% ภายในสัปดาห์เดียว นับเป็นสัปดาห์ที่ติดลบมากที่สุดตั้งแต่วิกฤตซับไพร์มปี 2008
เกิดอะไรขึ้น? ทั้งๆที่ดัชนี Dow Jones เพิ่งทำจุดสูงสุดใหม่มาหมาดๆ เมื่อ 2 สัปดาห์ที่แล้ว
แน่นอนว่าเรื่องนี้คงไม่ได้ทำให้นักลงทุนขาดทุนหนัก เพราะหลายคนคงมีกำไรมาบ้างแล้วในช่วงเวลาที่ผ่านมา แต่อย่างน้อยนักลงทุนน่าจะไม่สบายใจอยู่บ้าง ว่าเกิดอะไรขึ้น
สาเหตุของเรื่องนี้จริงๆแล้ว อาจจะเป็น PARADOX หรือ มีความขัดแย้งในตัวเอง
เพราะเรื่องแย่ๆ ที่เกิดขึ้นมันมีส่วนมาจาก เรื่องดีๆ ที่เกิดขึ้นมาแล้ว
นี่เป็นครั้งแรกในรอบ 4 ปี ที่อัตราดอกเบี้ยพันธบัตรรัฐบาลระยะยาวของสหรัฐ ได้พุ่งสูงขึ้นทำจุดสูงสุดใหม่
นี่เป็นครั้งแรกในรอบ 10 ปี หลักจากเกิดวิกฤตซับไพร์ม ที่อัตราดอกเบี้ยพันธบัตรรัฐบาลระยะสั้นของสหรัฐ ได้พุ่งสูงขึ้นทำจุดสูงสุดใหม่
อัตราดอกเบี้ยขึ้นแปลว่าอะไร?
สิ่งนี้กำลังบอกว่า เศรษฐกิจสหรัฐ รวมทั้งทั่วโลกได้ดีขึ้นแล้ว และโลกนี้อาจจะพร้อมสำหรับการขึ้นดอกเบี้ยแล้ว..
ทุกคนก็รู้มาตลอดว่าที่เศรษฐกิจโลกฟื้นตัวเร็วได้ก็เพราะการลดดอกเบี้ยอย่างรวดเร็วจนกลายเป็น 0 หลังจากเกิดวิกฤตซับไพร์ม และการออกมาตรการ QE หรือ Quantitative Easing ตั้งแต่สมัย เบน เบอร์นันเก้ เป็นประธานธนาคารกลางสหรัฐ
มาวันนี้เวลาได้ผ่านล่วงเลยมา และดูเหมือนว่ายาแรงชนิดนี้จะได้ผล
ทุกอย่างกลับมาเข้าที่เข้าทาง เศรษฐกิจทั่วโลกดีขึ้น ตลาดหุ้นทำจุดสูงสุดใหม่
แต่ไม่มีใครรู้ว่า
ในวันที่ท้องฟ้าสดใสที่สุด.. มันก็อาจจะเป็นจุดเริ่มต้นที่ดีที่สุดของความมืดมนอีกครั้ง
เมื่อดอกเบี้ยที่เพิ่มขึ้น หมายถึง ต้นทุนในการกู้ยืมเงินที่มากขึ้น
หลายบริษัทเคยมีต้นทุนการกู้ยืมที่ถูกมาเหมือนได้เปล่า มาในวันนี้เรื่องราวใน 10 ปีที่ผ่านมาอาจเปลี่ยนไป
เมื่อก่อนบริษัทเหล่านี้เคยสบายถึงขนาดไหน?
ถ้าจะเล่าให้เห็นภาพ บริษัทให้สินเชื่อ หรือ บัตรเครดิต ที่ผ่านมามีต้นทุนการกู้ยืมโดยเสียดอกเบี้ยเพียงแค่ 3% แต่นำมาปล่อยให้บุคคลรายย่อย เกือบ 30%..
ต้องออกตัวก่อนว่าบริษัทนี้คงไม่ได้จะเอาเปรียบอะไร แต่นี่คือความจริงในโลกธุรกิจ ที่คนที่มีเครดิตดีกว่าก็ย่อมมีต้นทุนทางการเงินที่ถูกกว่า
นี่ไม่ได้รวมถึงแค่บริษัท นักลงทุนผู้มีเครดิตดีก็สามารถกู้เงินมาซื้อหุ้นได้ ด้วยต้นทุนที่ต่ำมาก
ผลลัพธ์ของการเติบโตของเศรษฐกิจในงวดนี้ ก็คือการขยายสินทรัพย์ของผู้มีเครดิตในการกู้โดยใช้ดอกเบี้ยที่ต่ำ
แต่มาวันนี้ ต้นทุนทางการเงินของบริษัท และบุคคลเหล่านี้อาจจะต้องเพิ่มขึ้น
นั่นหมายถึง สิ่งที่เคยได้ง่ายมาก่อน ก็อาจจะลำบากขึ้น กำไรของบริษัทเหล่านี้ก็อาจจะกระทบกระเทือน
พอเป็นเช่นนั้นนักลงทุนผู้มองการณ์ไกลบางคนก็อาจจะมองเห็นแนวโน้มนี้ และคิดว่าจุดนี้แหละเป็นจุดพีคของเศรษฐกิจแล้ว เลยชิงขายหุ้น หรือ ลดการกู้ยืมลงก่อน เพื่อเก็บกำไรที่ได้มามากแล้ว
ลงทุนแมนก็ไม่รู้ว่าการตกลงของตลาดหุ้นทั่วโลกในช่วงนี้ จะกระทบกับประเทศไทยมากน้อยแค่ไหน
และก็ไม่ได้ฟันธงว่าวิกฤตเศรษฐกิจจะเกิดขึ้นทุกๆ 10 ปีจริงหรือไม่
เพราะเอาเข้าจริงๆ การทำนายเศรษฐกิจเป็นเรื่องที่ยาก แต่ที่รู้คือวิกฤตมักจะมาตอนที่เราไม่รู้ตัวอยู่เสมอ
และจากที่ผ่านมา
วิกฤตเศรษฐกิจลูกที่สมบูรณ์แบบที่สุด ก็มักจะเกิดขึ้นในตอนที่ทุกคนในโลกมองทุกอย่างดูสวยงามไปหมด
ในช่วงเวลาทั้งหมด
ท้องฟ้าจะสวยที่สุดก็คงจะเป็นช่วงยามเย็นที่ดวงอาทิตย์กำลังจะลับขอบฟ้า
ท้องฟ้าจะสวยที่สุดก็คงจะเป็นช่วงยามเย็นที่ดวงอาทิตย์กำลังจะลับขอบฟ้า
หลายคนอาจจะกำลังเพลิดเพลินกับความสวยงาม จนลืมคิดไปว่าอีกไม่กี่นาที เมื่อดวงอาทิตย์หายไปแล้ว
เราก็จะกำลังเข้าสู่ความมืดมนอีกครั้ง..
----------------------
<ad> เรื่องใหญ่กว่าหุ้นตก ก็ลูกว่ายน้ำไม่เป็นในยามจำเป็น
ลงทุนกับความปลอดภัยในชีวิตลูก กับการเรียนว่ายน้ำที่จะเป็นทักษะติดตัวลูกรักไปตลอดชีวิต
ที่ศูนย์สอนว่ายน้ำทารกและเด็ก BUB in da POOL รีวิว 5ดาว จากสมาชิกที่มาเรียนสอนน้องอายุ 4 เดือน ถึง 9 ปี
สระน้ำอุ่นระบบเกลือ ทีมครูมืออาชีพและรักเด็ก
เพจ BUB in da POOL โทร 099-4544696
www.bubindapool.com
----------------------
----------------------
<ad> เรื่องใหญ่กว่าหุ้นตก ก็ลูกว่ายน้ำไม่เป็นในยามจำเป็น
ลงทุนกับความปลอดภัยในชีวิตลูก กับการเรียนว่ายน้ำที่จะเป็นทักษะติดตัวลูกรักไปตลอดชีวิต
ที่ศูนย์สอนว่ายน้ำทารกและเด็ก BUB in da POOL รีวิว 5ดาว จากสมาชิกที่มาเรียนสอนน้องอายุ 4 เดือน ถึง 9 ปี
สระน้ำอุ่นระบบเกลือ ทีมครูมืออาชีพและรักเด็ก
เพจ BUB in da POOL โทร 099-4544696
www.bubindapool.com
----------------------