รู้จัก มหาเศรษฐีอันดับ 3 ของญี่ปุ่น ที่ไม่ค่อยมีใครพูดถึง

รู้จัก มหาเศรษฐีอันดับ 3 ของญี่ปุ่น ที่ไม่ค่อยมีใครพูดถึง

รู้จัก มหาเศรษฐีอันดับ 3 ของญี่ปุ่น ที่ไม่ค่อยมีใครพูดถึง /โดย ลงทุนแมน
ถ้าพูดถึงมหาเศรษฐีชาวญี่ปุ่น หลายคนคงนึกถึง
คุณ Masayoshi Son เจ้าของอาณาจักร SoftBank Group หรือคุณ Tadashi Yanai เจ้าของแบรนด์ UNIQLO
ซึ่งผลัดกันครองตำแหน่งบุคคลที่มีฐานะร่ำรวยสุดของญี่ปุ่นอยู่หลายครั้ง
แต่รู้ไหมว่า อีกคนหนึ่งที่น่าจับตามองไม่แพ้กัน แม้เราจะไม่ค่อยเห็นชื่อของเขาตามสื่อสักเท่าไร
คือคุณ “Takemitsu Takizaki” ซึ่งเป็นมหาเศรษฐีอันดับ 3 ในญี่ปุ่น และเคยแซงหน้าขึ้นมาเป็นอันดับ 1 ในบางช่วงเวลาด้วย
ชายคนนี้ทำธุรกิจอะไร ถึงรวยเป็นอันดับต้น ๆ ของญี่ปุ่นได้ ?
ลงทุนแมนจะเล่าให้ฟัง
╔═══════════╗
Blockdit เป็นแพลตฟอร์ม สำหรับนักอ่าน และนักเขียน
ที่มีผู้ใช้งาน 2 ล้านคน ลองใช้แพลตฟอร์มนี้เพื่อได้ไอเดียใหม่ๆ
แล้วอาจพบว่าสังคมนี้เหมาะกับคนเช่นคุณ
Blockdit. Ideas Happen. Blockdit.com/download
╚═══════════╝
คุณ Takemitsu Takizaki เป็นนักธุรกิจชาวญี่ปุ่น เกิดเมื่อปี 1945 ปัจจุบันอายุ 76 ปี
เขาเรียนจบเพียงแค่ระดับชั้นมัธยมปลาย แต่ก็ค่อย ๆ เก็บสะสมประสบการณ์การทำงาน จนต่อมาได้ก่อตั้งบริษัทของตัวเอง ชื่อว่า “Keyence” ในปี 1974
บริษัท Keyence ประกอบธุรกิจเป็นผู้ผลิตและจำหน่าย อุปกรณ์และระบบอัตโนมัติ ที่ใช้ในกระบวนการผลิต ไม่ว่าจะเป็น เซนเซอร์, วิชันซิสเต็ม, เครื่องอ่านบาร์โคด รวมถึงเครื่องมืออิเล็กทรอนิกส์ต่าง ๆ
พอเป็นเช่นนี้ ลูกค้าสำคัญของบริษัท ก็คือกลุ่มโรงงานอุตสาหกรรม ที่พึ่งพาสายพานการผลิตเป็นหลัก โดยเฉพาะผู้ผลิตรถยนต์, ชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์, บรรจุภัณฑ์อาหารและเครื่องดื่ม
ในช่วงแรก คุณ Takemitsu Takizaki ได้เข้าไปช่วยคิดค้นเซนเซอร์ ให้กับสายพานการผลิตรถยนต์ของ Toyota และสายพานการผลิตชิปของ Toshiba ทำให้ Keyence เริ่มมีชื่อเสียง และสามารถขยายฐานลูกค้าได้อย่างต่อเนื่อง
และความจริงแล้ว Keyence ไม่ได้ผลิตอุปกรณ์เหล่านั้นเอง
แต่จะรวบรวมวัสดุตั้งต้น ไปจ้างโรงงานอื่น ให้ผลิตเป็นชิ้นส่วนและสินค้าสำเร็จรูป จากนั้นจึงค่อยนำมาตรวจสอบมาตรฐานคุณภาพ และขายให้ลูกค้าอีกที
โดยในการผลิต บริษัทได้วางกลยุทธ์แยกจ้างโรงงานหลาย ๆ แห่ง เพื่อป้องกันไม่ให้ใครรับรู้ถึงส่วนประกอบและเทคโนโลยีทั้งหมด แล้วผันตัวมาเป็นคู่แข่งในอนาคต
ส่วนในด้านการทำตลาด Keyence ก็ไม่ได้แยกขายสินค้าเป็นชิ้น ๆ
แต่จะพ่วงทั้งอุปกรณ์และระบบ เป็นแพ็กเกจเดียวกัน
โดยจะวิเคราะห์ความต้องการ จากฐานข้อมูลของลูกค้า เพื่อเสนอโซลูชันที่ตอบโจทย์การผลิตของแต่ละโรงงานให้ได้ประสิทธิภาพสูงสุด
ด้วยเหตุนี้ ผลิตภัณฑ์ของ Keyence จึงมีมูลค่าเพิ่ม
ส่งผลให้บริษัทมีอัตรากำไรถึงเกือบ 40% และทำให้สามารถจ่ายค่าจ้างพนักงานได้สูง โดยพนักงานของ Keyence มีเงินเดือนเฉลี่ยราว 5.8 ล้านบาทต่อปี คิดเป็น 3 เท่า ของค่าเฉลี่ยอุตสาหกรรม
แล้วปัจจุบัน Keyence มีขนาดใหญ่แค่ไหน ?
ที่ผ่านมา ประเทศญี่ปุ่นถือเป็นผู้นำด้านการผลิตรถยนต์และสินค้าอิเล็กทรอนิกส์ ซึ่งก็ทำให้ธุรกิจของ Keyence เติบโตควบคู่กันไปด้วย
และทุกวันนี้ การพัฒนาของอินเทอร์เน็ตความเร็วสูง ทำให้มีการประยุกต์ใช้เทคโนโลยี Internet of Things เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในกระบวนการผลิต ประกอบกับวิกฤติการระบาดของเชื้อไวรัสโควิด 19 ก็บีบให้ต้องลดความแออัดของพนักงาน
ซึ่งเรื่องนี้ ก็ยิ่งส่งผลให้อุปกรณ์และระบบอัตโนมัติของ Keyence เป็นสิ่งที่แทบจะขาดไม่ได้เลย สำหรับผู้ประกอบการโรงงานต่าง ๆ
เราลองมาดูผลประกอบการของ Keyence
ปี 2020 รายได้ 147,000 ล้านบาท กำไร 53,000 ล้านบาท
ปี 2021 รายได้ 143,000 ล้านบาท กำไร 52,000 ล้านบาท
โดยบริษัทไม่ได้ดำเนินงานอยู่แค่ในญี่ปุ่นเท่านั้น แต่มีการขยายไปใน 46 ประเทศทั่วโลก ซึ่งยอดขายในปีล่าสุด มีสัดส่วนมาจาก
- ญี่ปุ่น 44%
- จีน 16%
- สหรัฐอเมริกา 14%
- ประเทศอื่น 26%
และสำหรับในประเทศไทย บริษัท คีย์เอ็นซ์ (ไทยแลนด์) จำกัด ได้เข้ามาจดทะเบียนจัดตั้งธุรกิจตั้งแต่ปี 1998 โดยในปีที่ผ่านมา บริษัทมีรายได้ 2,669 ล้านบาท และกำไร 127 ล้านบาท
โดย Keyence จดทะเบียนอยู่ในตลาดหลักทรัพย์โตเกียว
ปัจจุบันมีมูลค่าตลาดอยู่ที่ประมาณ 3.6 ล้านล้านบาท นับเป็นบริษัทใหญ่สุด เป็นอันดับ 3 ของประเทศญี่ปุ่น รองจาก Toyota และ Sony
ด้วยเหตุนี้ จึงทำให้ผู้ก่อตั้งบริษัทอย่างคุณ Takemitsu Takizaki ซึ่งถือหุ้น Keyence อยู่ในสัดส่วนราว 21% ถูกประเมินว่ามีทรัพย์สินมูลค่าประมาณ 800,000 ล้านบาท
ซึ่งนับเป็นมหาเศรษฐีอันดับ 3 ในประเทศญี่ปุ่น รองจากคุณ Masayoshi Son เจ้าของ SoftBank Group และคุณ Tadashi Yanai ผู้ก่อตั้ง Fast Retailing เจ้าของแบรนด์ UNIQLO เพียงเท่านั้น
และเมื่อเดือนกันยายน ปี 2021 เขาเคยแซงขึ้นเป็นบุคคลร่ำรวยสุดในญี่ปุ่นมาแล้ว หลังจากธุรกิจของทั้ง SoftBank Group และ UNIQLO ได้รับผลกระทบจากสถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิด 19 ซึ่งสวนทางกับ Keyence
จากเรื่องราวนี้แสดงให้เห็นว่า
สิ่งที่ทำให้ธุรกิจอยู่รอดในระยะยาว คือ การตอบโจทย์แนวโน้มของตลาด
แม้ผลิตภัณฑ์เซนเซอร์และระบบอัตโนมัติต่าง ๆ ของ Keyence อาจมีราคาสูง แต่ก็เป็นสิ่งที่จำเป็นสำหรับลูกค้าโรงงานแทบทุกราย ไม่เช่นนั้นกระบวนการผลิตอาจมีประสิทธิภาพสู้คู่แข่งไม่ได้
และในอนาคต เมื่อหลายภาคส่วน ไม่ใช่แค่โรงงานอุตสาหกรรม แต่รวมถึงในตัวเมืองและที่พักอาศัย มีการใช้เทคโนโลยีระบบอัจฉริยะมากขึ้น หนึ่งในผู้ที่จะเป็นรากฐานสำคัญของเทรนด์ดังกล่าว คงหนีไม่พ้น Keyence
ซึ่งมันก็น่าจะทำให้คุณ Takemitsu Takizaki คนนี้ ติดอันดับมหาเศรษฐีแถวหน้าของญี่ปุ่น ไปอีกนาน..
╔═══════════╗
Blockdit เป็นแพลตฟอร์ม สำหรับนักอ่าน และนักเขียน
ที่มีผู้ใช้งาน 2 ล้านคน ลองใช้แพลตฟอร์มนี้เพื่อได้ไอเดียใหม่ๆ
แล้วอาจพบว่าสังคมนี้เหมาะกับคนเช่นคุณ
Blockdit. Ideas Happen. Blockdit.com/download
╚═══════════╝
ติดตามลงทุนแมนได้ที่
Website - longtunman.com
Blockdit - blockdit.com/longtunman
Facebook - facebook.com/longtunman
Twitter - twitter.com/longtunman
Instagram - instagram.com/longtunman
Line - page.line.me/longtunman
YouTube - youtube.com/longtunman
TikTok - tiktok.com/@longtunman
Spotify - open.spotify.com/show/4jz0qVn1AL7tRMHiTvMbZH
Apple Podcasts - podcasts.apple.com/th/podcast/ลงท-นแมน/id1543162829
Soundcloud - soundcloud.com/longtunman
References:
-https://www.businessinsider.com/japan-richest-man-takemitsu-takizaki-sensor-manufacturing-keyence-2021-9
-https://www.japantimes.co.jp/news/2021/09/14/business/corporate-business/takemitsu-takizaki-japan-richest-person/
-https://asia.nikkei.com/Business/Companies/Secret-of-sensor-giant-Keyence-s-super-high-margin
-https://www.keyence.co.jp/pdf/Annual%20Report2021.pdf
-https://finance.yahoo.com/quote/6861.T/
-https://www.forbes.com/profile/takemitsu-takizaki/?sh=3e4e06c7439c
-https://companiesmarketcap.com/japan/largest-companies-in-japan-by-market-cap/
-กรมพัฒนาธุรกิจการค้า

เรื่องที่คุณอาจสนใจ

SPONSORED
© 2024 Longtunman. All rights reserved. Privacy Policy.
Blockdit Icon