หุ้น สเนลไวท์ แพงแค่ไหน?
หุ้น สเนลไวท์ แพงแค่ไหน? / โดย เพจลงทุนแมน
สัปดาห์หน้า นักลงทุนหลายคนคงตื่นเต้นกับหุ้น IPO ตัวใหม่ที่ชื่อ เสนลไวท์
จนถึงตอนนี้หลายคนถามว่า หุ้นนี้ที่ราคา IPO ซื้อได้ไหม แพงไปหรือไม่
ลงทุนแมนคงไม่กล้าให้คำตอบว่าควรซื้อหรือไม่
แต่จะนำภาพเปรียบเทียบกับหุ้นที่มีลักษณะคล้ายกันมาให้ดู
แล้วให้ตัดสินกันเองว่าเป็นอย่างไร..
สัปดาห์หน้า นักลงทุนหลายคนคงตื่นเต้นกับหุ้น IPO ตัวใหม่ที่ชื่อ เสนลไวท์
จนถึงตอนนี้หลายคนถามว่า หุ้นนี้ที่ราคา IPO ซื้อได้ไหม แพงไปหรือไม่
ลงทุนแมนคงไม่กล้าให้คำตอบว่าควรซื้อหรือไม่
แต่จะนำภาพเปรียบเทียบกับหุ้นที่มีลักษณะคล้ายกันมาให้ดู
แล้วให้ตัดสินกันเองว่าเป็นอย่างไร..
ทุกคนคงรู้จักเครื่องสำอางแบรนด์นี้เป็นอย่างดี เพราะมีดาราชื่อดังสลับกันมาเป็นพรีเซ็นเตอร์ทั้ง อั้ม ใหม่ ชมพู่ มิว ปู พลอย ฐิสา จนเรียกได้ว่าเป็นเครื่องสำอางที่มาแรงสุดๆ และ มีอันดับติดอยู่ในเครื่องสำอางขายดีในประเทศไทย ท่ามกลางแบรนด์อื่นที่เป็นของต่างประเทศทั้งหมด เรียกได้ว่าฝรั่งคงต้องหันมาศึกษาว่าแบรนด์นี้มีกลยุทธ์ทำการตลาดอย่างไรถึงเข้ามาแย่งตลาดได้
เจ้าของแบรนด์สเนลไวท์ คือ บริษัท ดู เดย์ ดรีม จำกัด (มหาชน) กำลังจะเข้าตลาดหลักทรัพย์ในสัปดาห์หน้า (26 ธ.ค. 2560) โดยใช้ชื่อย่อว่า DDD ดูแล้ว ชื่อน่าจะเป็นมงคล เพราะมีคำว่า “ดี” ตั้ง 3 ตัว และ ได้เคาะราคา IPO มาแล้วที่หุ้นละ 53 บาท และจะทำให้บริษัทนี้มีมูลค่าเกินหมื่นล้านบาทในวันแรกที่ทำการซื้อขาย
ที่น่าสนใจคือแบรนด์สเนลไวท์เพิ่งเปิดตัวครั้งแรกในปี พ.ศ. 2556 หรือ เมื่อ 4 ปีที่แล้วนี้เอง
ตอนนี้คำถามคงเกิดขึ้นในหัวของหลายคนว่า ตั้งบริษัทมาแค่ 4 ปี แต่บริษัทมีมูลค่าหมื่นล้าน แพงไปหรือไม่?
เรื่องนี้คงต้องไปดูที่รายละเอียด
ถ้าใครได้ติดตามบทความลงทุนแมนเรื่อยมา ก็จะมีความรู้สึกคุ้นๆว่าเหมือนเคยอ่านเรื่อง อายุน้อยหมื่นล้าน มาก่อนหน้านี้
ใช่แล้ว ลงทุนแมนเคยเขียนเกี่ยวกับโลกของตลาดหุ้นที่มีหลายบริษัทมูลค่าเกินหมื่นล้าน ทั้งที่เจ้าของอายุน้อยอยู่
บริษัทแรก คือ บริษัทเถ้าแก่น้อย
บริษัทนี้เจ้าของคือคุณ ต๊อบ อิทธิพัทธ์ ปีที่แล้วบริษัทเถ้าแก่น้อยมีรายได้ 4,729 ล้านบาท กำไร 781 ล้านบาท และตอนนี้บริษัทมีมูลค่า 29,118 ล้านบาท ถ้าเอามูลค่าบริษัทมาหารกำไร (ย้อนหลัง 12 เดือน) ก็จะได้เป็น PE ประมาณ 40 เท่า
บริษัทต่อมา คือ บริษัทอาฟเตอร์ยู
บริษัทนี้เจ้าของคือคุณ เม กุลพัชร์ ปีที่แล้วบริษัทอาฟเตอร์ยูมีรายได้ 608 ล้านบาท กำไร 98 ล้านบาท และตอนนี้บริษัทมีมูลค่า 11,581 ล้านบาท ถ้าเอามูลค่าบริษัทมาหารกำไร (ย้อนหลัง 12 เดือน) ก็จะได้เป็น PE ประมาณ 82 เท่า
บริษัทต่อมา คือ บริษัทแพลนบี มีเดีย
บริษัทนี้เจ้าของคือคุณ บี ปรินทร์ ปีที่แล้วบริษัทแพลนบีมีรายได้ 2,448 ล้านบาท กำไร 351 ล้านบาท และตอนนี้บริษัทมีมูลค่า 22,413 ล้านบาท ถ้าเอามูลค่าบริษัทมาหารกำไร (ย้อนหลัง 12 เดือน) ก็จะได้เป็น PE ประมาณ 52 เท่า
รู้หรือไม่ว่าทั้ง 3 บริษัทหมื่นล้านที่เล่ามานี้ มีลักษณะเหมือนกันอยู่ 3 ประการคือ
1 เป็นบริษัทที่เพิ่งก่อตั้งมาไม่นาน
2 เป็นบริษัทที่เจ้าของอายุน้อย
3 เป็นบริษัทที่เจ้าของก่อร่างสร้างตัวด้วยตัวเอง (Self Made)
1 เป็นบริษัทที่เพิ่งก่อตั้งมาไม่นาน
2 เป็นบริษัทที่เจ้าของอายุน้อย
3 เป็นบริษัทที่เจ้าของก่อร่างสร้างตัวด้วยตัวเอง (Self Made)
ทำไมตลาดถึงให้ PE สูง ตลาดมองโลกในแง่ดีเกินไป หรือว่า มีอะไรซ่อนอยู่ในบริษัทลักษณะนี้
ถ้ามองให้ลึกเข้าไปในรายละเอียดก็จะพบว่า ทั้ง 3 บริษัทนี้มีลักษณะที่คล้ายกันอยู่อย่างหนึ่งก็คือ บริษัทมีผู้บริหารที่เป็นเจเนอเรชั่นใหม่ ผู้บริหารเริ่มธุรกิจด้วยตัวเอง รู้รายละเอียดทุกซอกทุกมุมของบริษัท สนุกกับธุรกิจของตัวเองที่สร้างมา ไม่ได้สักแต่บริหารบริษัทไปวันๆเพราะถูกจ้างมา หรือ หมดไฟแล้วเหมือนผู้บริหารยุคเก่า
พอเรื่องเป็นอย่างนี้ คนรุ่นใหม่เหล่านี้ จะไม่ได้มองว่าสินค้าของเขาจะขายให้ตลาดในประเทศไทยอย่างเดียว แต่ตลาดของเขาคือทั้งโลกนี้.. และ ดูเหมือนว่าพวกเขาก็เริ่มทำสำเร็จที่จะให้ทั้งโลกหันมามองสินค้าที่เขากำลังจะนำเสนอ
ทุกคนคงรู้ว่า คนจีนชอบซื้อเถ้าแก่น้อยกลับไปฝากคนรู้จัก นักท่องเที่ยวชอบมากินอาฟเตอร์ยูที่ประเทศไทย และ ทุกคนคงสะดุดตากับสื่อนอกบ้านของแพลนบี ที่กำลังจะไปบุกตลาดเพื่อนบ้านในภูมิภาคนี้
สรุปแล้วบริษัทเหล่านี้มีศักยภาพการเติบโตที่ใหญ่มาก ซึ่งก็ได้สะท้อนความคาดหวังมาที่ราคาหุ้น ที่นักลงทุนยอมจ่ายแพงกว่าปกติ แต่ก็ต้องมาติดตามกันต่อไปว่า บริษัทจะทำผลงานได้ตามที่คาดหวังหรือไม่ บ่อยครั้งที่นักลงทุนมองโลกในแง่ดีเกินไป เมื่อไม่เป็นไปตามคาดราคาหุ้นก็ตก แต่ก็มีบ่อยครั้งที่บริษัททำผลงานได้ดีกว่าที่คาดถึงแม้ว่าราคาจะแพงแล้ว
แล้วสเนลไวท์อยู่ตรงไหน?
บริษัทดูเดย์ดรีม เจ้าของคือ คุณสราวุฒิ พรพัฒนารักษ์ ที่ก่อตั้งบริษัทร่วมกันกับเพื่อนๆสมัยเรียน มีลักษณะ 3 ประการที่คล้ายกันกับบริษัทที่กล่าวมาก่อนหน้านี้ ทั้งอายุน้อย ก่อร่างสร้างตัวด้วยตัวเอง และเพิ่งตั้งบริษัทมาไม่นานพร้อมที่จะขยายธุรกิจไปทั่วภูมิภาค
จนถึงตอนนี้คงไม่ต้องบรรยายว่านักท่องเที่ยวจีนชอบแบรนด์สเนลไวท์แค่ไหน
ปีที่แล้วบริษัทดูเดย์ดรีม มีรายได้ 1,202 ล้านบาท กำไร 335 ล้านบาท ถ้าเอามูลค่าบริษัทมาหารกำไร (ย้อนหลัง 12 เดือน) ก็จะได้เป็น PE ประมาณ 54 เท่า ซึ่งก็คงเรียกได้ว่าอยู่ในระดับเดียวกันกับ 3 บริษัทที่กล่าวมาข้างต้น
แล้วเสนลไวท์อยู่ตรงไหนถ้าเทียบกับบริษัทอื่นอีก?
ถ้าจะให้เทียบบริษัทอื่นที่น่าจะมีการเติบโตที่คล้ายกันก็น่าจะเป็นบริษัทดังนี้
บริษัท บิวตี้ คอมมูนิตี้ ที่ขายเครื่องสำอางเป็นที่ชื่นชอบของนักท่องเที่ยวเช่นกัน มี PE ประมาณ 57 เท่า
บริษัท คาราบาวกรุ๊ป ที่ไปรุกตลาดต่างประเทศทั้งตะวันออกกลาง อังกฤษ และล่าสุดที่ประเทศจีน มี PE ประมาณ 61 เท่า
บริษัท อาร์เอส ที่อยู่ในกลุ่มเครื่องสำอางเหมือนกัน แต่น่าจะยังจำกัดอยู่แค่ในประเทศไทย มี PE ประมาณ 149 เท่า
บริษัท คาร์มาร์ท ที่อยู่ในกลุ่มเครื่องสำอางเหมือนกัน แต่ในช่วงหลังไม่ค่อยเติบโตเท่าไร มี PE ประมาณ 24 เท่า
แล้วการเติบโตของสเนลไวท์อยู่ตรงไหนของบริษัทเครื่องสำอาง?
ถ้าให้คำนวณไป 3 ปี ย้อนหลัง ตั้งแต่ปี 2014-2016
บริษัท ดูเดย์ดรีม เจ้าของแบรนด์สเนลไวท์ มีอัตราการเติบโต 65.6% ต่อปี (ปี 2016 มียอดขาย 1,202 ล้านบาท)
บริษัท บิวตี้ คอมมูนิตี้ เจ้าของแบรนด์บิวตี้ บุฟเฟ่ต์ บิวตี้คอทเทจ มีอัตราการเติบโต 36.7% ต่อปี (ปี 2016 มียอดขาย 2,540 ล้านบาท)
บริษัท คาร์มาร์ท เจ้าของแบรนด์ เคที่ดอล มีอัตราการเติบโต 21.3% ต่อปี (ปี 2016 มียอดขาย 1,430 ล้านบาท)
บริษัท สมูทอี เจ้าของแบรนด์ สมูทอี มีอัตราการเติบโต 5.0% ต่อปี (ปี 2016 มียอดขาย 1,205 ล้านบาท)
บริษัท โอพี เจ้าของแบรนด์ โอเรียนทอล พริ้นเซส และ คิวท์เพรส มีอัตราการเติบโต 0.1% ต่อปี (ปี 2016 มียอดขาย 3,745 ล้านบาท)
สรุปแล้วถ้าเทียบกับคู่แข่งในอุตสาหกรรมเดียวกัน สเนลไวท์เติบโตมากสุดใน 3 ปี ที่ผ่านมา ส่วนหนึ่งก็คงเป็นเพราะฐานเดิมที่ต่ำ แต่ก็คงปฏิเสธไม่ได้ถึงความเก่งของผู้บริหาร เพราะใครจะไปคิดว่า ใช้เวลาแค่ไม่กี่ปี ตอนนี้ สเนลไวท์ จะมียอดขาย เท่า สมูทอี แล้ว
เรื่องนี้สอนให้รู้ว่าการทำธุรกิจนั้น การเข้าใจตลาดเป็นสิ่งสำคัญ บริษัทมองเห็นช่องว่างที่มีอยู่ของตลาด และสามารถขายสินค้าที่โดนใจผู้บริโภค ทั้งคนไทย และต่างประเทศ โดยเฉพาะชาวจีน และ การสร้างแบรนด์ให้คนได้รับรู้ก็เป็นอีกส่วนหนึ่งที่จะเป็นเกราะป้องกันให้คู่แข่งไม่สามารถเข้ามาได้ในอนาคต เหมือนอย่างที่สเนลไวท์ได้จ้างดาราระดับท็อปของวงการมาเป็นพรีเซ็นเตอร์ให้กับแบรนด์ตลอดมา
ถ้าเราจับจังหวะได้ถูกทาง ทุกอย่างจะเข้ามาเร็วมาก เร็วจนกระทั่งแม้แต่ตัวเจ้าของเองก็อาจจะช็อคกับการเติบโตของตัวเอง ว่ามาถึงจุดนี้ได้อย่างไร จุดที่บริษัทมีอัตราการเติบโตเป็นที่หนึ่งของตลาดเครื่องสำอาง เทียบเท่าผู้เล่นที่อยู่ในตลาดมาหลายสิบปี และสามารถนำบริษัทเข้าตลาดหลักทรัพย์ได้มีมูลค่าหลักหมื่นล้านบาท
แต่เรื่องที่กล่าวมาทั้งหมดเป็นเรื่องของอดีต และการก้าวเข้าตลาดหลักทรัพย์ก็น่าจะเป็นแค่จุดเริ่มต้นของตอนต่อไปในอนาคต ก็น่าติดตามว่าสเนลไวท์จะยังคงขยายความสำเร็จต่อไปตามที่ตลาดคาดหวังได้หรือไม่..
หมายเหตุ บทความนี้ไม่ได้ชี้นำให้ซื้อหุ้นตัวนี้ หรือ หุ้นที่เกี่ยวข้อง บทความต้องการนำเสนอมุมมองเปรียบเทียบกับบริษัทอื่นๆที่คล้ายกันเท่านั้น การลงทุนมีความเสี่ยง โปรดศึกษาข้อมูลให้ครบถ้วนก่อนตัดสินใจลงทุน
----------------------
อ่านเรื่องธุรกิจที่น่าสนใจอีกหลายเรื่องได้ที่ APP ลงทุนแมน โหลดฟรี https://www.longtunman.com/app
----------------------
----------------------
อ่านเรื่องธุรกิจที่น่าสนใจอีกหลายเรื่องได้ที่ APP ลงทุนแมน โหลดฟรี https://www.longtunman.com/app
----------------------