ร็อคกี้เฟลเลอร์ บุคคลที่รวยสุดในประวัติศาสตร์โลก
จอห์น ดี. ร็อคกี้เฟลเลอร์ เป็นเศรษฐีที่รวยที่สุดในประวัติศาสตร์โลกสมัยใหม่ และ เป็นคนอเมริกันที่รวยที่สุดในนับตั้งแต่ก่อตั้งอเมริกา เมื่อปรับเงินเฟ้อแล้วมูลค่าทรัพย์สินที่เขาเคยครอบครองมีมากถึง 13.7 ล้านล้านบาท มากกว่าบิล เกตส์ เศรษฐีอันดับหนึ่งของโลกปัจจุบันที่มีทรัพย์สิน 3 ล้านล้านบาท ถึง 4.5 เท่า
เขาทำธุรกิจอะไร?
เขาเริ่มต้นธุรกิจการกลั่นน้ำมันครั้งแรกที่เมือง Cleveland
ในปี 1870 เขาก่อตั้งบริษัท Standard Oil และควบคุมธุรกิจที่เกี่ยวเนื่องกับน้ำมันทั้งหมดตั้งแต่ การกลั่นน้ำมัน ขนส่งน้ำมัน จัดเก็บน้ำมัน ซึ่งทำให้น้ำมันมีราคาถูกลง เมื่อก่อนการจุดไฟให้แสงสว่างตอนกลางคืนจะมีสำหรับเฉพาะคนรวยเท่านั้น และจะใช้น้ำมันจากปลาวาฬที่มีราคาแพง การที่น้ำมันก๊าดราคาถูกทำให้คนชั้นกลางเข้าถึงได้มากขึ้น กิจการของเขาในช่วงพีคมีส่วนแบ่งถึง 90% ของตลาดน้ำมันอเมริกา
ในปี 1870 เขาก่อตั้งบริษัท Standard Oil และควบคุมธุรกิจที่เกี่ยวเนื่องกับน้ำมันทั้งหมดตั้งแต่ การกลั่นน้ำมัน ขนส่งน้ำมัน จัดเก็บน้ำมัน ซึ่งทำให้น้ำมันมีราคาถูกลง เมื่อก่อนการจุดไฟให้แสงสว่างตอนกลางคืนจะมีสำหรับเฉพาะคนรวยเท่านั้น และจะใช้น้ำมันจากปลาวาฬที่มีราคาแพง การที่น้ำมันก๊าดราคาถูกทำให้คนชั้นกลางเข้าถึงได้มากขึ้น กิจการของเขาในช่วงพีคมีส่วนแบ่งถึง 90% ของตลาดน้ำมันอเมริกา
โรงกลั่นทั่วไปจะเผาน้ำมันดิบเพื่อเอาแค่น้ำมันก๊าด (kerosene) เท่านั้น และทิ้งส่วนของน้ำมันที่เหลือไป แต่ร็อคกี้เฟลเลอร์เอาน้ำมันที่เหลือไปต่อยอดเป็นน้ำมันเบนซินเพื่อย้อนกลับมาเป็นเชื้อเพลิงให้โรงกลั่น และขายส่วนที่เหลือเป็นผลิตภัณฑ์ต่างๆ เช่น น้ำมันหล่อลื่น ขี้ผึ้ง กาว สีทาบ้าน
ต่อมานักประดิษฐ์ค้นพบกระแสไฟฟ้า และรถยนต์ที่ใช้น้ำมันเป็นเชื้อเพลิง ธุรกิจของเขาจึงขยายตัวได้อีกอย่างก้าวกระโดดตามความต้องการใช้น้ำมันที่เพิ่มขึ้น
อย่างไรก็ตามในปี 1911 ศาลตัดสินว่า Standard Oil ทำผิดกฎหมายผูกขาด และศาลมีคำสั่งให้แยกบริษัทออกเป็น 34 บริษัท
หลังจากแยกบริษัทแล้ว บริษัทต่างๆของเขาก็ยังทำกำไรได้มากอยู่ดี 10 ปีต่อมาเขามีทรัพย์สินมากขึ้นหลังจากแยกบริษัทถึง 5 เท่า และน่าสนใจว่าบริษัทพลังงานชั้นนำของโลกในปัจจุบัน เช่น Exxon Chevron BP ก็มีต้นกำเนิดมาจาก Standard Oil
ร็อคกี้เฟลเลอร์ประสบความสำเร็จเป็นเศรษฐีพันล้านตั้งแต่อายุยังน้อย แต่ชีวิตส่วนตัวเขากลับไม่ได้เป็นอย่างนั้นในช่วงที่เขาอายุ 50 ปี ร็อคกี้เฟลเลอร์ได้ป่วยเป็นโรคซึมเศร้า เนื่องจากเครียดจากการทำงานหนักมากเกินไป มีอาการนอนไม่หลับ อาหารไม่ย่อย และผมร่วงจนต้องใส่วิกผม
ต่อมาร็อคกี้เฟลเลอร์ จึงวางมือทางธุรกิจในขณะที่เขาอายุ 57 ปี และเริ่มบริจาคเงินเพื่อช่วยเหลือการกุศล เขาได้ให้เงินช่วยเหลือวิทยาลัยเล็กๆแห่งหนึ่ง ซึ่งตอนนี้ได้กลายเป็นมหาวิทยาลัยชิคาโกที่มีชื่อเสียง เขาได้ตั้งมูลนิธิร็อคกี้เฟลเลอร์ ซึ่งหลายคนคงเคยได้ยินชื่อนี้ มูลนิธินี้จะสนับสนุนด้านการแพทย์ การศึกษา และ การวิจัยทางวิทยาศาสตร์
จากการเปลี่ยนตัวเองจากนายทุนที่เอารัดเอาเปรียบมาเป็นผู้ทำงานด้านการกุศล ทำให้อาการป่วยของเขาดีขึ้น และสามารถใช้ชีวิตหลังเกษียณได้นานถึง 40 ปี และเสียชีวิตลงในวัย 97 ปี
สังเกตว่าชีวิตเขาคล้ายกับ บิล เกตส์ บุคคลที่รวยที่สุดของโลกในปัจจุบัน ที่วางมือทางธุรกิจและหันมาทำงานการกุศลเต็มเวลาเช่นกัน
เรื่องนี้อาจทำให้คิดได้ว่าเป้าหมายในระยะแรกของทุกคนคือ ความร่ำรวย แต่เมื่อคนที่มีเงินมากจนถึงจุดนึงแล้ว กลับพบว่าเป้าหมายสุดท้ายในชีวิตจริงๆของเขากลับไม่ใช่เงิน แต่เป็นการได้ช่วยเหลือผู้อื่น
ทำไมถึงเป็นแบบนั้น?
สิ่งนี้อธิบายได้โดยทฤษฎีลำดับความต้องการของ Maslow ความต้องการในลำดับขั้นแรกๆของมนุษย์คือ ความปลอดภัย ความร่ำรวย มิตรภาพ ความนับถือ ส่วนความต้องการขั้นสูงสุดคือ Self-Actualization หรือ ความสมบูรณ์ของชีวิต ซึ่งคนที่จะเข้าใจความต้องการขั้นสูงสุดนี้ได้จะต้องได้รับการตอบสนองความต้องการขั้นแรกๆอย่างดีแล้วทั้งหมดก่อน
ความสมบูรณ์ของชีวิตคือการมีอิสระทางจิตใจ ไม่มีอคติ ยืดหยุ่น รับฟังคนอื่น มองโลกตามความเป็นจริง ไม่มีอุดมคติ ไม่บังคับให้สังคมต้องเป็นแบบที่เราคิด ไม่ต้องการเป็นจุดสนใจ ไม่ต้องการแข่งขัน เป้าหมายไม่ใช่เพื่อเงิน หรือ ชื่อเสียง ไม่โฟกัสที่ความต้องการของตัวเอง แต่โฟกัสที่คนรอบข้าง และสังคมส่วนรวม
ถึงแม้ในทฤษฎีบอกว่าเราต้องได้รับการตอบสนองความต้องการขั้นแรกๆก่อนถึงจะเข้าสู่ขั้นสุดท้ายได้ แต่คงจะดีไม่น้อยถ้าเรารู้ทันตัวเอง และเดินทางลัดไปสู่เป้าหมายสุดท้ายได้เลย