เสี่ยเจริญเปิดตัวโครงการใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์ไทย
โครงการ ONE BANGKOK ถือเป็นโครงการอสังหาริมทรัพย์ที่ใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์ของภาคเอกชนไทย มูลค่าโครงการถึง 120,000 ล้านบาท พื้นที่โครงการ 104 ไร่ โดยจะใช้พื้นที่ถึง 50 ไร่เป็นพื้นที่สีเขียวเปิดโล่ง และโครงการจะมีพื้นที่ใช้สอยถึง 1,830,000 ตารางเมตร!
โครงการนี้จะมีทั้งหมด 8 ตึก เป็นออฟฟิศเกรด A 5 ตึก และโรงแรมที่อยู่อาศัยระดับ Ultra Luxury อีก 3 ตึก ดูจากรูปแล้วน่าจะมีอยู่ 1 ตึกที่มีความสูงระดับ 100 ชั้น โดยบริษัท TCC Assets ของเสี่ยเจริญ ถือหุ้นโครงการนี้ 80% และบริษัทสิงคโปร์ถืออีก 20%
โครงการนี้จะเปิดเฟสแรกได้ในอีก 4 ปีข้างหน้า และจะเสร็จสมบูรณ์ในอีก 8 ปีข้างหน้า โครงการนี้น่าจะยกระดับรถไฟฟ้าสาย mrt สายสีน้ำเงินที่เมื่อก่อนยังเป็นรอง bts สายสีเขียวอยู่ โดยโครงการจะตั้งอยู่ที่ mrt สถานีลุมพินี ซึ่งสามารถเชื่อมต่อไปยัง อโศก รัชดา สีลม รวมถึง เยาวราช และ พระบรมมหาราชวังในอนาคต ด้วยมูลค่าโครงการ พื้นที่ใช้สอย และการออกแบบ โครงการนี้น่าจะเป็นแลนด์มาร์คระดับโลกได้อย่างที่เสี่ยเจริญอยากให้เป็น
คงปฏิเสธไม่ได้ว่าแถววิทยุเพลินจิตเป็นบริเวณที่พีคสุดของกรุงเทพ ณ ขณะนี้ มีทั้งคอนโด 98 Wireless Road ที่แพงสุดในประเทศ และโครงการหลังสวนวิลเลจ 56 ไร่ที่เป็นโครงการยักษ์ระดับพรีเมี่ยม ถนนวิทยุยังมีสถานทูตอเมริกา สถานทูตฮอลแลนด์ และตึกสูงบริเวณนี้จะได้เสพวิวสวนลุมแบบเต็มๆ ถือว่าเป็นทำเลที่ดีที่สุดในเมืองคล้าย บริเวณ Central Park ของเมืองนิวยอร์ค
สำหรับคำถามที่ว่าปีที่แล้วเสี่ยเจริญซื้อ bigc แสนล้าน คราวนี้ทำโครงการอีกแสนล้าน เขาหาเงินจากแหล่งไหน
จริงๆแล้วเขามีเงินสดไม่ถึงหรอกที่จะซื้อ แต่เขาใช้วิธี leverage ด้วยเครื่องมือการเงินต่างๆ เช่น
1) ตลาดทุน เขาซื้อ big c ผ่านบริษัท bjc ซึ่งเขาเพิ่มทุนให้ bjc ด้วย
2) กู้ธนาคาร หลังจากนั้นเขาก็ให้บริษัท bjc กู้ธนาคาร scb เพื่อเอาเงินจ่ายให้เจ้าของ bigc เดิม
3) ออกหุ้นกู้ คือการกู้เงินจากประชาชนโดยตรง ซึ่งดอกเบี้ยจะต่ำกว่ากู้ธนาคาร
4) ออกกองทุนอสังหาริมทรัพย์ หรือ REIT บริษัทในเครือของเขาเช่น GOLD หรือ UV ได้ระดมเงินทุนโดยขายทรัพย์สินเข้ากองทุน REIT ที่เขาจัดตั้งขึ้น ซึ่งต้นทุนจะต่ำกว่าการกู้เงินจากธนาคารเช่นกัน ตัวอย่างกองประเภทนี้ชื่อ GVREIT ที่เป็นเจ้าของตึกสาทรสแควร์ ที่แยกสาทรนราธิวาส และตึก park venture ที่แยกเพลินจิตวิทยุ
ผมเดาว่าการสร้างโครงการนี้ในที่สุดเขาก็จะขายทรัพย์สินเข้ากองทุน REIT เพื่อกินเงินส่วนต่าง แล้วเอาเงินก้อนไปพัฒนาโครงการใหม่อีก