Ford ปะทะ Ferrari ศึกชิงความเป็นใหญ่ ในวงการรถสปอร์ต

Ford ปะทะ Ferrari ศึกชิงความเป็นใหญ่ ในวงการรถสปอร์ต

Ford ปะทะ Ferrari ศึกชิงความเป็นใหญ่ ในวงการรถสปอร์ต /โดย ลงทุนแมน
การแข่งขันระหว่างบริษัทในอุตสาหกรรมเดียวกัน ถือเป็นเรื่องปกติของวงการธุรกิจ
แต่ถ้าพูดถึงการแข่งขันที่กลายเป็นตำนานเรื่องเล่าขานนั้น คงมีไม่มาก
เหตุการณ์ศึกชิงความเป็นใหญ่ในวงการรถสปอร์ตระหว่าง Ford และ Ferrari
ถือเป็นหนึ่งในเหตุการณ์การแข่งขันหนึ่งที่ดุเดือด ที่หลายคนน่าจะเคยได้ยิน
แต่รู้หรือไม่ว่าก่อนที่ทั้งสองจะกลายเป็นคู่แค้นคู่อาฆาตกันนั้น
ทั้ง Ford และ Ferrari เคยเกือบจะควบรวมกิจการเข้าด้วยกัน
แล้วเพราะเหตุใดจึงทำให้ทั้งสองแตกหักกันและบทสรุปนั้นเป็นอย่างไร ?
ลงทุนแมนจะเล่าให้ฟัง
╔═══════════╗
Blockdit เป็นแพลตฟอร์ม สำหรับนักอ่าน และนักเขียน
ที่มีผู้ใช้งาน 1 ล้านคน ลองใช้แพลตฟอร์มนี้เพื่อได้ไอเดียใหม่ๆ
แล้วอาจพบว่าสังคมนี้เหมาะกับคนเช่นคุณ
Blockdit. Ideas Happen. Blockdit.com/download
╚═══════════╝
จุดเริ่มต้นเกิดขึ้นในช่วงต้นปี 1960
เมื่อ Ford เจ้าใหญ่แห่งวงการรถยนต์กำลังเสื่อมความนิยมลง
จากผลิตภัณฑ์ช่วงหลังที่ล้มเหลวมาโดยตลอด อย่างเช่น โมเดลรถยนต์รุ่น Edsel
ซึ่งสวนทางกันกับคู่แข่งอย่าง GM และ Chrysler ที่กำลังได้กระแสตอบรับที่ดี
Henry Ford II ซีอีโอ ณ ขณะนั้น ซึ่งเป็นหลานชายคนโตของผู้ก่อตั้งบริษัท จึงต้องคิดหาวิธีกู้สถานการณ์ให้ Ford กลับมารุ่งเรืองได้อีกครั้ง
นั่นจึงทำให้เขาตัดสินใจไปปรึกษาหารือกับ Lee Iacocca ผู้จัดการฝ่าย ซึ่งก็ได้คำแนะนำกลับมาว่า ถึงเวลาแล้วที่ Ford ต้องลงไปลุยวงการรถสปอร์ต
เนื่องจากเวลานั้นเป็นช่วงที่การบริโภคของกลุ่มประชากร Baby Boomer ถือเป็นส่วนสำคัญของเศรษฐกิจ พวกเขาเหล่านี้ไม่ได้มองเหมือนคนรุ่นก่อนที่ต้องการเพียงรถยนต์สำหรับขับขี่ได้เท่านั้น
แต่ต้องการรถยนต์ที่ส่งมอบความเร็วและประสิทธิภาพที่สูง
ซึ่งภาพลักษณ์ของ Ford ยุคนั้น
คนวัย Baby Boomer มองว่าเป็นรถยนต์ที่คร่ำครึ ไม่ทันสมัย
จึงทำให้กลุ่มคนวัยนี้ไม่นิยมซื้อรถยนต์แบรนด์ Ford
ดังนั้น โจทย์ที่ตามมาก็คือ หากดึงดูดกลุ่มลูกค้านี้มาได้
มันก็มีโอกาสที่จะทำให้ยอดขายของ Ford กลับมาเติบโตอีกครั้ง

แต่ปัญหาใหญ่สำหรับ Ford ก็คือ บริษัทไม่มีรถสปอร์ตอยู่ในไลน์การผลิตของตัวเองเลย
และที่เลวร้ายยิ่งกว่านั้น บริษัทยังไม่ได้มีแผนที่จะสร้างอีกด้วย
พอเรื่องเป็นแบบนี้ จึงทำให้เหล่าผู้บริหารต้องมองหาทางออกใหม่และก็ได้คำตอบคือการซื้อบริษัทผู้ผลิตรถสปอร์ตโดยตรงเลย
ซึ่งเป็นจังหวะเดียวที่ Ferrari ค่ายรถสปอร์ตจากอิตาลี กำลังมองหาพันธมิตรใหม่อยู่พอดี
เพราะมีปัญหาเรื่องรายได้ของการขายรถยนต์โตไม่ทันค่าใช้จ่ายที่ลงไปกับงานแข่งขัน
จึงต้องการเงินสนับสนุนเพื่อให้ธุรกิจยังคงดำเนินต่อไปได้
ต้องบอกว่า Ferrari ถือเป็นราชาแห่งวงการรถยนต์สำหรับแข่งขันในยุคนั้น
แฟน ๆ รถยนต์ต่างพากันคลั่งไคล้ เพราะไม่ว่าจะลงแข่งรายการไหน
Ferrari ก็มักจะได้รางวัลอยู่เสมอ ซึ่งก็ดูตรงกับสิ่งที่ Ford ต้องการอย่างพอเหมาะพอเจาะ
ถึงตรงนี้ ก็ดูเหมือนว่าเรื่องราวจะจบอย่างสวยงาม
เพราะต่างฝ่ายต่างสามารถเติมเต็มกันได้อย่างดี
แต่เรื่องราวหลังจากนี้ กลับไม่เป็นไปตามนั้น
เพราะ Ferrari กลับปฏิเสธข้อเสนอการขายหุ้นให้กับ Ford
เนื่องจากพวกเขามองว่าข้อตกลงไม่เป็นไปตามที่พูดคุยกัน
ทั้งการที่ Ford จะเป็นคนเข้ามาคอยควบคุมงบประมาณของบริษัท
การเสนอมูลค่าหุ้นที่ต่ำกว่าที่ตั้งไว้และที่เป็นปัญหาสำหรับ Ferrari ที่สุด คือการห้ามลงรายการแข่งขันรถยนต์อีกต่อไป
Ferrari ผู้มีใจรักการแข่งขันจึงหันไปขายหุ้นให้กับ Fiat ผู้ผลิตรถยนต์สัญชาติอิตาลีแทน
นอกจากนี้ Enzo ผู้ก่อตั้ง Ferrari ยังบอกว่า ไม่มีทางขายหุ้นให้กับบริษัทที่น่าเกลียด ที่มีรถยนต์หน้าตาน่าเกลียดและถูกผลิตโดยโรงงานที่ดูน่าเกลียดอีกด้วย
เมื่อข่าวนี้มาถึง Ford ทั้ง Henry Ford II และเหล่าผู้บริหารต่างพากันปรี๊ดแตก
พวกเขาจึงวางแผนใหม่ทั้งหมด เพื่อเตรียมตัวสำหรับการล้างแค้น
โดยแผนใหม่ที่ว่านั้นก็คือ Ford จะเข้าร่วมรายการแข่งขันรถยนต์ที่ชื่อว่า เลอม็อง 24 ชั่วโมง
ซึ่งเป็นการแข่งขันรถยนต์วิ่งรอบสนามต่อเนื่องกัน 1 วันเต็ม ซึ่งผู้ที่ทำระยะได้มากที่สุดเป็นผู้ชนะ
จากเป้าหมายของการแข่งขันเลอม็อง 24 ชั่วโมง ก็ถือเป็นรายการที่มีความศักดิ์สิทธิ์และเกียรติยศ ที่ค่ายรถยนต์ทั่วโลกจะส่งรถยนต์ที่ดีที่สุดเพื่อมาพิสูจน์ว่าใครกันแน่
ที่เป็นอันดับ 1 ของรถยนต์ ทั้งในแง่ความเร็วและความทนทาน
และอย่างที่เราน่าจะพอคาดเดาได้
อันดับ 1 ที่ผ่านมาล้วนเป็นของค่ายรถยนต์อย่าง Ferrari
ซึ่งหาก Ford ชนะในการแข่งขัน จะเป็นการตบหน้า Ferrari ครั้งใหญ่
Ford ไม่รอช้า เปิดโปรเจกต์ใหม่ขึ้นมาชื่อว่า “Ferrari Killer” เป็นโปรเจกต์พิเศษสำหรับสร้างรถสปอร์ตที่จะสามารถมาคว้าชัยจากการแข่งขันนี้โดยเฉพาะและก็ได้ให้กำเนิดรถยนต์ Ford รุ่น GT40 ขึ้นมา

อย่างไรก็ตาม Ford GT40 ก็ยังไม่สามารถเอาชนะการแข่งขันได้
แม้ว่าจะทุ่มทรัพยากรไปมากเพียงใดก็ตาม ทั้งบุคลากรและเม็ดเงิน
แต่ Ford ก็ยังไม่สามารถสร้างรถยนต์ให้วิ่งจนจบรายการได้เลย
เมื่อ Ford ประเมินแล้วว่าตนไม่สามารถพัฒนารถยนต์ให้ดีขึ้นพอที่จะแข่งขันกับ Ferrari ได้
จึงตัดสินใจมอบทั้งโปรเจกต์นี้ให้ Carroll Shelby นักออกแบบรถยนต์ อดีตนักซิ่งที่เคยชนะการแข่งขันเลอม็อง เป็นคนดูแล
ซึ่ง Shelby ก็ได้เชิญชวนเพื่อนที่รู้ใจอย่าง Ken Miles นักขับและวิศวกรเครื่องกลเพื่อมาช่วยพัฒนารถยนต์ด้วยกัน
ทั้งคู่ร่วมด้วยวิศวกรจาก Ford นำ GT40 กลับมาพัฒนาขึ้นมาใหม่อีกครั้ง
เพราะทั้งคู่เห็นว่าศักยภาพของ GT40 ยังต่อยอดให้กลายเป็นรถยนต์ที่ทรงพลังได้
และแล้วก็ได้ให้กำเนิดรถยนต์รุ่นต่อมาคือ GT40 Mk II
จากการทำงานหนักทั้งหมดของพวกเขา
โปรเจกต์ Ferrari Killer ก็เริ่มผลิดอกออกผล
จนในที่สุด รถยนต์ของ Ford ไม่เพียงชนะ Ferrari เท่านั้น
แต่ยังทำให้ค่ายรถยนต์จากอิตาลีต้องอับอาย
จากการที่ Ferrari ไม่มีรถที่ติดอันดับ 1 ใน 3 เลย
เพราะอีก 2 คันที่เหลือก็เป็นเจ้า GT40 Mk II เช่นกัน
รวมถึงรายการแข่งขันอื่น ๆ เช่น 12 ชั่วโมง ซีบริง และ 24 ชั่วโมงของเดย์โทนา
Ferrari ก็ไม่สามารถเอาชนะ Ford ได้เลย
ซึ่งสร้างความพึงพอใจให้กับ Henry Ford II เป็นอย่างมาก
เหตุการณ์ครั้งนี้ส่งผลให้ภาพลักษณ์ของ Ford เปลี่ยนแปลงไป
จากเดิมที่ผู้คนเคยมองว่าคร่ำครึ โบราณ กลับกลายเป็นรถยนต์ที่ทันสมัยอีกครั้ง
และ GT40 Mk II ได้กลายเป็นความภาคภูมิใจในวงการรถยนต์ของชาวอเมริกัน
รวมถึงเป็นรถยนต์รุ่นแรกของ Ford ที่มีราคาเกิน 1 ล้านดอลลาร์สหรัฐด้วย
น่าเสียดายที่เวลาต่อมา Miles เสียชีวิตก่อนที่เขาจะได้แข่งที่เลอม็องอีกครั้ง
เนื่องจากรถยนต์เสียการควบคุมขณะที่กำลังทดสอบ
แม้ว่า Ford จะสูญเสียบุคลากรสำคัญอย่าง Miles ไป
แต่หลังจากการแข่งขันครั้งนั้น ปี 1967 ถึง 1969 Ferrari ก็ยังไม่เคยกลับมาชนะได้อีกเลย
จนกระทั่งปี 1970 ที่ Ford ถอนตัวจากการแข่งขันไป Ferrari จึงกลับมาอีกครั้ง
จากเรื่องราวครั้งนี้ทำให้เห็นว่า Ford กับ Ferrari เคยเกือบควบรวมเป็นบริษัทเดียวกันมาก่อน
แต่ในเมื่อเจ้าของทั้ง 2 บริษัท มีความเห็นไม่ลงรอยกัน จึงได้นำไปสู่ความขัดแย้ง
แต่ก็ใช่ว่าความขัดแย้งซึ่งนำไปสู่การแข่งขันจะเป็นเรื่องเลวร้ายเสมอไป
เพราะหากเราดูจากเหตุการณ์ที่ทั้ง 2 บริษัท แข่งขันกันเพื่อเป็นหนึ่งในแบรนด์รถยนต์
เจ้าแห่งความเร็วและความอึดทนทาน ก็ทำให้ทั้ง 2 บริษัทสามารถพัฒนารถยนต์ที่มีประสิทธิภาพมากขึ้น และเป็นหนึ่งในปัจจัยที่ทำให้ Ford และ Ferrari ยังคงดำเนินธุรกิจมาอย่างแข็งแกร่งและยาวนานขนาดนี้ นั่นเอง..
╔═══════════╗
Blockdit เป็นแพลตฟอร์ม สำหรับนักอ่าน และนักเขียน
ที่มีผู้ใช้งาน 1 ล้านคน ลองใช้แพลตฟอร์มนี้เพื่อได้ไอเดียใหม่ๆ
แล้วอาจพบว่าสังคมนี้เหมาะกับคนเช่นคุณ
Blockdit. Ideas Happen. Blockdit.com/download
╚═══════════╝
ติดตามลงทุนแมนได้ที่
Website - longtunman.com
Blockdit - blockdit.com/longtunman
Facebook - facebook.com/longtunman
Twitter - twitter.com/longtunman
Instagram - instagram.com/longtunman
Line - page.line.me/longtunman
YouTube - youtube.com/longtunman
Spotify - open.spotify.com/show/4jz0qVn1AL7tRMHiTvMbZH
Apple Podcasts - podcasts.apple.com/th/podcast/ลงท-นแมน/id1543162829
Soundcloud - soundcloud.com/longtunman
References
-https://www.forbes.com/wheels/news/ford-vs-ferrari-the-real-story-behind-the-most-bitter-rivalry-in-auto-racing/
-https://time.com/5730536/ford-v-ferrari-true-story/
-https://www.businessinsider.com/real-story-behind-ford-v-ferrari-oscars-2020-2
-https://en.wikipedia.org/wiki/Ferrari
-https://en.wikipedia.org/wiki/Lee_Iacocca
© 2024 Longtunman. All rights reserved. Privacy Policy.
Blockdit Icon