ทำไมโลกยังไม่เจอมนุษย์ต่างดาว?

ทำไมโลกยังไม่เจอมนุษย์ต่างดาว?

วันหยุดขอพักเรื่องการลงทุน บทความนี้น่าอ่าน แต่มีความลึกที่ต้องใช้สมาธิ เซฟไว้แล้วค่อยอ่านตอนว่างได้ครับ บทความนี้เป็นตอนต่อจากความสำเร็จของ SpaceX ที่ได้เขียนในตอนที่แล้ว (https://www.facebook.com/longtunman/videos/134118190454131/) ผมเดาว่าในใจลึกๆของ Elon Musk คิดว่ามนุษย์มีโอกาสที่จะสูญพันธุ์ ถ้าไม่รีบพัฒนาเทคโนโลยีอวกาศ และหาอาณานิคมแห่งใหม่ เขาจึงหาทางที่จะไปดาวอังคารก่อนเป็นที่แรก
แต่ในที่สุดแล้วมนุษย์จำเป็นต้องหาดาวดวงอื่นนอกระบบสุริยะ หรือ เรียกง่ายๆว่า ไปหาดวงอาทิตย์ดวงใหม่ ตอนนี้อาจจะฟังเป็นเรื่องเพ้อฝัน แต่ในอนาคตอีกล้านปีถ้ามนุษย์ยังคงพึ่งพลังงานจากดวงอาทิตย์เพียงดวงเดียว มนุษย์มีความเสี่ยงสูงมากที่จะสูญพันธุ์
ผมคิดว่าโอกาสที่จะทำให้มนุษย์สูญพันธุ์ได้น่าจะมีสาเหตุจาก
1) เกิดสงครามระหว่างมนุษย์กันเอง
2) หุ่นยนต์พัฒนาจนฉลาดกว่ามนุษย์ และทำลายมนุษย์
3) มีโรคระบาดร้ายแรง ที่มนุษย์คิดค้นยารักษาไม่ทัน
4) มนุษย์กลายพันธุ์เป็นสิ่งมีชีวิตใหม่ และทำลายมนุษย์เดิม
5) ภัยธรรมชาติ เช่น อุกกาบาตขนาดใหญ่พุ่งชนโลก โลกร้อนทำให้น้ำท่วมโลก หรือ ดวงอาทิตย์เผาไหม้หมดและดับลง
6) มีมนุษย์จากดาวอื่นที่แข็งแกร่งกว่า และทำลายโลก
แม้ว่าจะดูเหมือนหนังฮอลลีวู้ด แต่จริงๆแล้วเหตุการณ์ทั้งหมดมีความเป็นไปได้ที่จะเกิดขึ้น อ้างอิงตามหลักสถิติความน่าจะเป็น ถึงเหตุการณ์จะมีโอกาสเกิดน้อยมาก แต่ถ้าให้ระยะเวลานานพอเช่นอีกล้านปีข้างหน้า ในที่สุดเหตุการณ์นั้นก็จะเกิดขึ้น
อย่างไรก็ตาม..
สำหรับเหตุการณ์ข้อ 6 อาจจะไม่มีโอกาสเกิดขึ้นเลย
ทำไมเราถึงอาจจะไม่ได้เห็นมนุษย์ต่างดาว?
ขอต้อนรับสู่เรื่อง The Fermi Paradox
ต้นฉบับของ Tim Urban มีเนื้อหายาวมาก แต่ผมจะสรุปมาให้อ่านแบบง่ายๆ
ถ้าพูดถึงเรื่องดาวและกาแลกซี่ คำถามทุกคนจะคล้ายกันคือ "มีสิ่งมีชีวิตที่เหมือนมนุษย์ข้างนอกนั้นไหม"
ถ้าใช้วิธีคิดทางคณิตศาสตร์และความน่าจะเป็นมาตอบคำถามนี้ คำตอบคือมีความน่าจะเป็นสูงมากที่จะมีดาวอื่นมีสิ่งมีชีวิตที่มีอารยธรรมอาศัยอยู่
วิธีคิดเริ่มจาก ในบทวิจัยต่างๆคาดการณ์ว่าดาวทั้งหมดในจักรวาลจะมีประมาณ 1 ล้านล้านล้านล้านล้านล้านดวง และน่าจะมีดาวที่คล้ายดวงอาทิตย์อยู่ประมาณ 500 ล้านล้านล้านดวงในจักรวาล
แต่ดวงอาทิตย์ที่ว่านี้อาจจะไม่ได้มีดาวเคราะห์ที่โคจรคล้ายโลกของเราทั้งหมด ที่มีอุณหภูมิที่พอเหมาะและมีน้ำที่น่าจะเป็นสิ่งสนับสนุนให้เกิดสิ่งมีชีวิต ซึ่งจากการคำนวณจะพบว่า จะเหลือดาวเคราะห์ 100 ล้านล้านล้านดวงที่มีลักษณะคล้ายโลก
และถ้าคำนวณต่อ หลังจากดาวคล้ายโลกกำเนิดขึ้นอาจจะมี 1% ของดาวเหล่านั้นมีสิ่งชีวิตเกิดขึ้น และ 1% ของจำนวนนั้นอีกทีที่จะมีสิ่งมีชีวิตที่ฉลาดเกิดขึ้น จึงหมายความว่าน่าจะมีประมาณ 1 หมื่นล้านล้านดวงที่จะมีสิ่งมีชีวิตที่มีอารยธรรมบนจักรวาลนี้
จนถึงตอนนี้อาจจะงง ขอลำดับการคำนวณดังนี้
ดาวคล้ายดวงอาทิตย์>ดาวเคราะห์คล้ายโลก>มีสิ่งมีชีวิต>สิ่งมีชีวิตที่มีอารยธรรม
ถ้าเราคำนวณกลับมาที่เฉพาะกาแลคซี่ทางช้างเผือกของเราก็จะมีดาวประมาณ 1 พันล้านดวงที่มีลักษณะคล้ายโลก และ 1 แสนดวงที่มีสิ่งมีชีวิตที่มีอารยธรรม
ตอนนี้ SETI (โครงการที่หาสิ่งมีชีวิตนอกโลก) กำลังฟังสัญญาณจากสิ่งมีชีวิตนอกโลก ถ้าเราคำนวณถูกต้อง ก็จะมีสิ่งมีชีวิตอีก 1 แสนดวงบนกาแลคซี่ของเราพยายามส่งคลื่นวิทยุ หรือ เลเซอร์ เพื่อติดต่อคนอื่นเหมือนกัน
แต่ทำไมจนถึงตอนนี้ SETI ยังไม่ได้รับการติดต่อแม้แต่รายเดียว
ทุกคนไปไหนกันหมด?
มันแปลกยิ่งกว่านั้น เพราะดวงอาทิตย์ของเราเป็นดวงที่มีอายุน้อยที่พึ่งเกิดขึ้นบนจักรวาลนี้ แปลว่าถ้ามีดวงอาทิตย์ดวงอื่นที่แก่กว่า ก็น่าจะมีสิ่งมีชีวิตที่มีอารยธรรมสูงกว่าเรามาก แค่เทคโนโลยี 1,000 ปีที่นำหน้าเราก็สามารถทำให้เราช็อคได้ (นึกถึงคนในยุคเจงกีสข่านมาเห็นไอโฟนในสมัยนี้) แต่ถ้าเทคโนโลยี 1 ล้านปีข้างหน้าหล่ะ อาจจะทำให้มนุษย์โลกกลายเป็นลิงในสายตาของเขาเลย แต่ความจริงคือมีความเป็นไปได้ที่จะมีดาวที่มีเทคโนโลยีที่นำหน้าเรา 3.4 พันล้านปี...
การจัดกลุ่มของอารยธรรมตาม The Kardashev Scale จะแบ่งตามความสามารถในการใช้พลังงาน
Type 1: ใช้พลังงานได้แค่บนโลกของเขา ซึ่งตอนนี้มนุษย์โลกอยู่ในกลุ่มนี้
Type 2: ใช้พลังงานจากดวงอาทิตย์ของเขาได้ สมองมนุษย์เราระดับ Type 1 อาจจะยังจินตนาการไม่ออกว่าจะทำยังไง ที่นึกออกตอนนี้คือ Dyson Sphere (การสร้างวัตถุห่อหุ้มดวงอาทิตย์)
Type 3: กลุ่มนี้จะเหนือชั้นสุดคือ ใช้พลังงานจากทั้งกาแลคซี่ของเขาได้ ซึ่งอาจจะฟังดูยากที่จะเชื่อ (แต่อย่าลืมว่ามีดาวที่เทคโนโลยีนำหน้าเรา 3.4 พันล้านปีอยู่) ซึ่งโดยทั่วไปแล้วถ้าคนที่มีเทคโนโลยีระดับนั้นก็น่าจะเดินทางท่องอวกาศได้และน่าจะยึดครองได้ทั้งกาแลคซี่
ทฤษฎีตัวอย่างในการครอบครองกาแลคซี่คือ การสร้าง หุ่นยนต์ AI ท่องไปตามโลกต่างๆ และใช้เวลา 500 ปีจากทรัพยากรของโลกนั้นๆในการกำเนิดลูกหลานให้หุ่นยนต์ และให้ลูกหลานไปหาทรัพยากรที่โลกอื่นอีกที การทำแบบนี้ถึงไม่ต้องเดินทางด้วยความเร็วแสง แต่ก็จะสามารถครอบครองกาแลคซี่ได้ภายใน 3.7 ล้านปี
ถ้าคาดเดาต่อไป ถ้า 1% ของดาวที่มีอารยธรรมทั้งหมด สามารถอยู่เป็นอารยธรรม Type 3 ได้ ก็จะมีสัก 1,000 อารยธรรม Type 3 ในกาแลคซี่ของเรา และเราก็น่าจะสังเกตเห็นอารยธรรมเหล่านั้นแล้ว แต่ตอนนี้เรายังไม่เห็นอะไร
แล้วทุกคนไปไหนกันหมด?
เรื่องนี้คือ Fermi Paradox ซึ่งเป็นการขัดแย้งกันระหว่างความน่าจะเป็นสูงที่เราจะเห็นสิ่งมีชีวิตนอกโลก กับความน่าจะเป็นที่เราจะไม่มีทางได้เห็นสิ่งมีชีวิตนอกโลกเลย
การที่เรายังไม่เห็นสิ่งมีชีวิต Type 2 และ Type 3 มีคำอธิบายอยู่ 2 กลุ่มใหญ่คือ
1) ไม่มีสิ่งมีชีวิต Type 2 และ Type 3 เกิดขึ้น
2) มีสิ่งมีชีวิต Type 2 และ Type 3 แต่เราไม่เห็นพวกเขาด้วยเหตุผลบางอย่าง
1) ไม่มีสิ่งมีชีวิต Type 2 และ Type 3 เกิดขึ้น
เพราะมีบางอย่างที่เราเรียกว่า The Great Filter ซึ่งหมายความว่าสิ่งที่เดามาตั้งแต่ต้นทั้งหมดอาจจะไม่ได้เกิดขึ้นง่ายๆ เราใช้เวลาเกือบ 2 พันล้านปีในการพัฒนาจากสิ่งมีชีวิตเซลล์เดียว prokaryote เป็นสิ่งที่มีชีวิตที่ซับซ้อนที่มี nuclues ซึ่งหมายความว่าถ้ามี Great Filter อยู่จริงโดยทั่วไปแล้ว สิ่งมีชีวิตเซลล์เดียวจะไม่สามารถพัฒนาไปมากกว่านั้นได้แล้ว ที่มนุษย์พัฒนามาได้เป็นสิ่งที่หายากมาก ยากกว่าสมมติฐานที่คาดเดามาตั้งแต่แรก
หรือเป็นไปได้ว่าเมื่อสิ่งมีชีวิตพัฒนามาถึงจุดๆหนึ่งจะมีบางอย่างที่กั้นไม่ให้ไปไกลกว่านี้แล้ว อาจจะเป็นภัยธรรมชาติร้ายแรงที่เกิดเป็นประจำ หรือเป็นเรื่องของเวลาว่าสิ่งมีชีวิตที่พัฒนาเทคโนโลยีไปถึงจุดหนึ่งจะทำลายตัวมันเองเสมอ
2) มีสิ่งมีชีวิต Type 2 และ Type 3 แต่เราไม่เห็นพวกเขาด้วยเหตุผลบางอย่าง
-สิ่งมีชีวิตอาจเคยเยือนโลกแล้วแต่ก่อนที่มนุษย์จะเกิดขึ้น
-มีการสร้างอาณานิคมแล้ว แต่เราเป็นที่พื้นที่ชนบทของกาแลคซี่
-การสร้างอาณานิคมอาจจะไม่จำเป็น สำหรับสิ่งมีชีวิตขั้นสูง
-มีอารยธรรมที่เป็นนักล่าอยู่นอกโลก สิ่งมีชีวิตส่วนใหญ่รู้ว่าไม่ควรโฆษณาบอกตำแหน่งตัวเองให้คนอื่นรู้
-จริงๆแล้วมีสัญญาณขั้นสูงอยู่นอกโลก แต่สิ่งมีชีวิตขั้นสูงเลิกใช้คลื่นวิทยุของมนุษย์ไปแล้ว
-เราได้รับการติดต่อแล้ว แต่รัฐบาลปิดบังอยู่
-มีสิ่งมีชีวิตขั้นสูงรู้ว่าเราอยู่ที่นี่และกำลังเฝ้ามองเราอยู่ เหมือนเราเข้าอุทยานแล้วห้ามรบกวนสัตว์ป่า
-มีสิ่งมีชีวิตขั้นสูงอยู่รอบตัวเรา แต่เรายังไม่รู้ว่าเขาเป็นรูปแบบไหน และเขาก็ไม่จำเป็นต้องติดต่อเรา เหมือนนักล่าอาณานิคมสมัยก่อนเข้าไปแล้วเจอรังมด เขาอาจจะเดินผ่านไปไม่ทำลายรังมด และมดก็ไม่เข้าใจว่านักล่าอาณานิคมเป็นใคร
-เราอาจจะเข้าใจผิดไปทั้งหมดกับความเป็นจริงของเรา ทั้งหมดอาจจะเป็นภาพ hologram ที่เอเลี่ยนกำลังปลูก หรือทดลอง หรือเราอาจจะเป็นส่วนหนึ่งในแบบจำลองคอมพิวเตอร์ในห้องทดลองของอีกโลกหนึ่งเพื่อดูว่าว่าสิ่งมีชีวิตเป็นอย่างไร และสิ่งมีชีวิตอื่นๆไม่ได้ถูกโปรแกรมเข้ามาในแบบจำลองนี้
-จบ-
สำหรับข่าว SpaceX ที่ประสบความสำเร็จในการนำจรวดกลับมาใช้ใหม่ซึ่งน่าจะเป็นจุดเริ่มต้นของการสร้างอาณานิคมบนดาวอังคาร และ ข่าวเดือนที่แล้วที่นาซ่าประกาศว่าค้นพบดาวใหม่ ที่มีลักษณะคล้ายโลกเป็นครั้งแรก
เราอาจจะกำลังอยู่ในยุคที่น่าตื่นเต้นครั้งหนึ่งของประวัติศาสตร์โลกก็เป็นได้
© 2024 Longtunman. All rights reserved. Privacy Policy.
Blockdit Icon