Facebook กำลัง disrupt Google
Facebook ประกาศผลประกอบการปี 2016 มีกำไร 10,217 ล้านเหรียญ เติบโตถึง 177% เมื่อเทียบกับปี 2015 ที่ Facebook มีกำไรเพียง 3,688 ล้านเหรียญ เป็นปีแรกที่ Facebook มีกำไรก้าวข้ามผ่านกำไรของบริษัท Coke บริษัทเครื่องดื่มที่หลายคนคุ้นเคยและดื่มเป็นประจำ และเป็นปีแรกที่ Facebook มีกำไรข้ามหลักหมื่นล้านเหรียญ ซึ่งกำไรระดับนี้มีไม่กี่บริษัทในอเมริกาที่ทำได้ หนึ่งในนั้นคือรุ่นพี่อย่าง Apple Microsoft และ Alphabet (Google)
จากคำสัมภาษณ์ของ Mark Zuckerberg ที่ให้ไว้หลังจากการประกาศผลประกอบการ เขากล่าวว่าปัจจุบันมีคนเล่น Facebook ถึง 1.9 พันล้านคนในทุกๆเดือน และ 1.2 พันล้านคนในทุกๆวัน อย่างไรก็ตามในคำตอบเกี่ยวกับทิศทางของบริษัทในอนาคต เขาเน้นย้ำอยู่หลายครั้งในการสัมภาษณ์ว่าสิ่งสำคัญต่อไปของ Facebook คือ "วิดีโอ"
Facebook ให้ความสำคัญกับวิดีโอมาก จนถึงขั้นเสียสละ Tab เดิมที่เป็น messenger ให้เป็น Tab ใหม่ที่เกี่ยวกับวิดีโอ โดยตอนนี้่ Tab นี้จะอยู่ตรงกลางจอเลย สาเหตุที่ต้องมี Tab นี้เพิ่มขึ้นมา เนื่องจาก news feed จะเรียงตามความสดใหม่ของ content เป็นหลัก แต่ tab video จะสามารถเลือกชมเป็น episode ต่อเนื่องสำหรับรายการนั้นๆได้เช่น ซีรี่ส์ละคร หรือซีรี่ส์เกมโชว์ คนดูส่วนใหญ่จะดูรายการวิดีโอนั้นอย่างต่อเนื่อง
เป้าหมายใหญ่ของ Facebook คือการสร้างระบบนิเวศน์ หรือ ecosystem ของ video content ให้ผู้ผลิต และผู้ใช้มาอยู่ในระบบของ Facebook และเหมือนว่ามาถูกทาง Sheryl Sandberg COO ของ Facebook กล่าวว่าในขณะนี้วิดีโอของ Facebook กำลังโตระเบิด และนี่เป็นก้าวสำคัญที่ Facebook จะได้รายได้มากขึ้นไปอีกจากโฆษณาที่เป็นวิดีโอ ซึ่งแต่เดิมมีแต่โฆษณาที่เป็นรูปภาพและตัวอักษร
ทำไม Facebook ถึงต้องเน้นวิดีโอ?
เพราะว่าโฆษณาที่เป็นวิดีโอนั้นสามารถดึงความสนใจของลูกค้ามากกว่ารูปภาพนิ่ง และพิสูจน์แล้วว่าสามารถเพิ่มยอดขายสินค้าได้จริง value ที่มากขึ้นย่อมส่งผลต่อราคาโฆษณาที่สูงขึ้น แต่การก้าวเข้ามาในตลาดวิดีโอนั้นจะทำให้ Facebook หลีกเลี่ยงไม่ได้ที่จะเข้ามาในตลาดที่ Google ครองอยู่นั่นก็คือ Youtube
ทั้ง Youtube และ Facebook ต่างมีรายได้จากโฆษณาทั้งคู่ ทั้งนี้ตามคำอธิบายของ Divid Wehner CFO ของ Facebook กล่าวว่า 3 ปัจจัยหลักที่ส่งผลต่อรายได้โฆษณาจะประกอบด้วย
1) จำนวนคนใช้งาน active user
2) เวลาที่ใช้งานต่อคน time spent
3) ความถี่ของโฆษณา ad load
1) จำนวนคนใช้งาน active user
2) เวลาที่ใช้งานต่อคน time spent
3) ความถี่ของโฆษณา ad load
เทียบกันแล้วคนที่ดูวิดีโอใน Youtube ยังใช้เวลาอยู่ใน Youtube นานกว่าการดูวิดีโอใน Facebook มาก แต่ Mark Zuckerberg บอกว่า Facebook ตั้งใจให้คนเริ่มจากวิดีโอสั้นๆก่อน เพื่อให้คนติด หลังจากนั้นจะคิดวิธีหาทางให้คนดูวิดีโอนานขึ้นทีหลัง และถ้าจะไปเพิ่มความถี่ของโฆษณาก็คงไม่ดีเพราะว่าถ้ามีบ่อยเกินจะรบกวนคนดู เหมือนตอนนี้ Youtube เริ่มจะมีโฆษณาคั่นมากเกินแล้ว
สิ่งหนึ่งที่ Facebook ได้เปรียบ Youtube อยู่มากคือ เรื่องจำนวนคนใช้งานถึง 1.9 พันล้านคน เป็นจำนวนลูกค้ามากที่สุดในโลก และโฆษณาของ Facebook ยัง target ถึงผู้บริโภคได้ดีกว่าเพราะมี profile, friends list, interest, location, post like, page following, check-in เก็บไว้หมดทำให้โฆษณาที่ส่งออกไป relevant ต่อคนดูมากขึ้น
ตัวอย่างเช่นในปีที่ผ่านมา Motorola เปิดตัวมือถือรุ่นใหม่ โดย targeting เฉพาะผู้ใช้ Android และ Verizon ผ่านการโฆษณาใน Facebook และ Instagram วิธีการโฆษณาแบบนี้ได้ผลต่อยอดขาย โดยไม่เปลืองงบในการโฆษณาแบบดั้งเดิมที่ต้องหว่านไปทั่วโดยไม่รู้ว่าตรงเป้าหมายกลุ่มคนที่จะอยากให้ชมโฆษณาหรือไม่ อย่างในกรณีนี้ Motolora สามารถเลือกได้ว่าจะไม่โฆษณาให้แก่ผู้ใช้ iphone แต่เลือกเฉพาะผู้ใช้ระบบ android
สุดท้ายที่น่าสนใจคือ Mark Zuckerberg ได้พูดถึงเรื่อง Search ว่า Facebook กำลังพัฒนาเรื่องนี้อยู่เช่นกัน สุดท้ายถ้า Facebook มี search engine เป็นของตัวเอง ซึ่ง Facebook มีข้อมูล profile ของผู้ใช้ละเอียด ไม่แน่ว่า AI ของ Facebook อาจจะให้ผลการ search ที่ดีกว่า Google ในอนาคตก็เป็นได้ แต่ก็ต้องยอมรับว่าตอนนี้ระบบนิเวศน์ของ search engine ของ Google ยังนำอยู่หลายช่วงตัว
อย่างไรก็ตามตลาดของ Facebook และ Google จะเริ่มทับซ้อนกันมากขึ้นจนกลายเป็นตลาดเดียวกันในที่สุด ในขณะที่ Google ใช้งบเยอะมากในการออกไปหา moonshot projects ใหม่ที่ไม่ค่อยเกี่ยวกับธุรกิจเดิม เช่น รถขับด้วยตัวเอง แต่ Facebook กำลัง focus อยู่แต่เรื่องที่เกี่ยวเนื่องกับของเดิมๆ จนตอนนี้ค่อยๆคืบคลานเข้ามากินส่วนแบ่งตลาด Google แล้ว