อิตาเลียนไทย ช.การช่าง ซิโนไทย
บริษัทรับเหมายักษ์ใหญ่ ที่ก่อสร้างสถานที่สำคัญทั่วประเทศไทย
หลายคนคงต้องเคยเห็น หรือ ได้ยินมาบ้าง

ในช่วงหลายปีมานี้รัฐบาลไทยได้ผลักดันโครงการลงทุนขนาดใหญ่
เพื่อลงทุนกับระบบโครงสร้างพื้นฐานของประเทศหลายโครงการไม่ว่าจะเป็น
ถนน ทางด่วน ทางรถไฟ รวมถึงรถไฟฟ้าหลากสายสายทั่วกรุงเทพ

บริษัทรับเหมาก่อสร้างขนาดใหญ่ที่สามารถรับงานขนาดใหญ่จึงถูกมองว่าจะได้รับอานิสงส์ไปเต็มๆ
โดยสามยักษ์ใหญ่รับเหมาของไทยในเวลานี้คือ

ITD - บริษัท อิตาเลียนไทย ดิเวล๊อปเมนต์ จำกัด (มหาชน)
CK - บริษัท ช.การช่าง จำกัด (มหาชน)
STEC - บริษัท ซิโน ไทย เอ็นจิเนียริ่งแอนด์คอนสตรั๊คชั่น จำกัด (มหาชน)

ณ ไตรมาส1 ของปี 2560 ทั้งสามมีงานในมือที่รอรับรู้รายได้ (Backlog**) คือ
- ITD และบริษัทในเครือ รวมกว่า 175,000 ล้านบาท
- CK 100,000 ล้านบาท
- STEC 100,000 ล้านบาท โดยรายนี้ ถือว่ามีงานในมือแตะระดับแสนล้านเป็นครั้งแรกด้วย

**Backlog คือการที่บริษัทประมูลงานมาได้แล้ว รอการรับรู้รายได้ทางบัญชี

ตัวอย่างเช่น ชนะประมูลสัญญาสร้างบ้าน 1 ล้านบาท ใช้เวลาสร้าง 2 ปีจะรับรู้ปีละ 500,000 บาท เป็นต้น (ในทางปฏิบัติจะซับซ้อนกว่านี้)

ยิ่งไปกว่านั้น โครงการรถไฟฟ้าอีกหลายสาย และโครงการอื่นๆกำลังต่อคิวทยอยออกมาให้ร่วมประมูลในปีต่อๆไปอีกหลายโครงการจึงมีแนวโน้มว่า Backlog ของบริษัทเหล่านี้จะเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ

แล้ว 3 เจ้านี้ใครใหญ่ที่สุด?

เปรียบเทียบรายได้ และกำไรในปีที่แล้ว (ปี 2559)
ITD มีรายได้ 48,389 ล้าน ขาดทุน 109 ล้านบาท
CK มีรายได้ 47,597 ล้านบาท กำไร 2,002 ล้านบาท
STEC มีรายได้ 18,650 ล้านบาท กำไร 1,381 ล้านบาท

จะเห็นว่าในแง่ขนาดรายได้ ITD และ CK มีรายได้ใกล้เคียงกันซึ่งมากกว่า STEC เป็นเท่าตัว

อย่างไรก็ตามหากวัดความสามารถในการทำกำไรจะเห็นว่า STEC นั้นทำได้ดีที่สุด โดยมีอัตรากำไรสุทธิราว 7.4% (ถือว่าเยอะแล้วสำหรับธุรกิจนี้)

ส่วน ITD นั้นยังประสบปัญหากับโครงการขนาดใหญ่บางโครงการ เช่น โครงการท่าเรือน้ำลึกทวาย ประเทศพม่า และเหมืองโปแตซ ที่อุดรธานี

ในขณะที่ CK ยังมีรายได้หลักอีกทางจากบริษัทลูกที่ตัวเองไปลงทุนไว้เช่น BEM (ทางด่วนและรถไฟฟ้ากรุงเทพ) CKP (ซีเค พาวเวอร์-โรงไฟฟ้า) TTW (น้ำประปา) ช่วยให้กำไรสม่ำเสมอ

สรุป

หากวัดกันที่ธุรกิจรับเหมาเพียวๆ ITD จะยังเป็นเบอร์ 1 ด้านรับเหมาก่อสร้างของประเทศไทยในแง่ของขนาดงานในมือ

หากวัดกันที่กำไรต้องยกให้ CK เป็นเบอร์ 1 ในบริษัทด้านนี้ เพราะมีบริษัทลูกช่วยได้มาก

ส่วน STEC เหมือนจะตามทั้ง 2 บริษัทอยู่ แต่ก็มีประสิทธิภาพการทำกำไรที่ดีมาก

และทั้ง 3 บริษัทคงได้ประโยชน์จากการลงทุนของภาครัฐในหลายปีข้างหน้านี้ อย่างไรก็ตามก็ต้องดูราคาหุ้นประกอบด้วยว่าแพงไปแล้วหรือยัง?

หมายเหตุ การลงทุนมีความเสี่ยง บทความนี้ไม่ได้มีเจตนาชี้นำให้ซื้อหุ้นที่กล่าวถึง โปรดศึกษาข้อมูลก่อนตัดสินใจลงทุน ไม่เช่นนั้นท่านอาจจะติดดอยได้..