11 ปีที่หายไป

11 ปีที่หายไป

ถ้าโลกนี้มีปุ่มให้ RESET
แล้วกดย้อนกลับไปเริ่มต้นใหม่ในอดีต
เราคงอยากรู้ว่า คุณทักษิณอยากกลับไปทำอะไรบ้าง
ถ้าทักษิณยังอยู่เมืองไทย
และวันนั้นทักษิณไม่ขายชินคอร์ปให้เทมาเส็ก
ตอนนี้คุณทักษิณจะเป็น 1 ใน 5 คนรวยที่สุดในประเทศไทย
วันนี้เป็นวันครบรอบ 11 ปี รัฐประหาร 19 กันยายน 2549
ดูเหมือนว่าตั้งแต่วันนั้นมา ประเทศไทยก็ไม่เหมือนเดิมอีกต่อไป
วันนั้นคุณทักษิณ ชินวัตร ปฏิบัติหน้าที่ในฐานะนายกรัฐมนตรีอยู่ในสหรัฐฯ เมื่อเจอรัฐประหาร จึงทำให้ต้องลี้ภัยอยู่ต่างประเทศนับตั้งแต่นั้นมา
จริงๆแล้วคุณทักษิณได้กลับมาประเทศไทยอีกครั้งในปี 2551 แต่ก็เป็นช่วงเวลาสั้นๆ
ในวันนี้เพจลงทุนแมนจะมาเล่าประวัติการทำธุรกิจของทักษิณ ไม่ได้มาพูดถึงเรื่องการเมือง และขออนุญาตผู้อ่านอย่าคอมเม้นเรื่องการเมือง
เมื่อย้อนกลับไปดู ประวัติ ต้นตระกูล ชินวัตร คุณปู่เป็นคนจีนอพยพ มาอยู่เชียงใหม่ ค้าขายเส้นไหมจากจีน ได้ตั้งโรงงานทอผ้า และ ร้านชินวัตรผ้าไหม มีชื่อเสียงโด่งดัง คุณทักษิณ ก็มีหัวการค้าตั้งแต่เด็ก ช่วยคุณพ่อ ขายกาแฟ และ ดูแล โรงหนัง
ปี 2522
ตอนอายุ 30 ปี จบปริญญาเอก
คุณทักษิณ เรียนดีมาก ได้ที่ 1 ของโรงเรียนนายร้อยตำรวจ และ ได้ทุนไปเรียนต่อจนจบปริญญาเอก เมื่อกลับมารับราชการ กองบัญชาการตำรวจนครบาล ได้ทำกิจการส่วนตัวไปด้วย ทั้ง ขายผ้าไหม ขายภาพยนตร์
ปี 2526
ตอนอายุ 34 ปี คุณทักษิณตั้งบริษัทชินวัตรคอมพิวเตอร์..
ในสมัยก่อน การซื้อขายกับราชการ มีข้อกำหนดมากมาย ทำให้ บริษัท ไอบีเอ็ม ซึ่งเป็น บริษัทสัญชาติอเมริกา ไม่สามารถเซ็นสัญญาตรงได้ จึงแต่งตั้ง บริษัท ชินวัตรคอมพิวเตอร์ ของคุณทักษิณ ให้เป็นบริษัทคู่ค้าในการขายคอมพิวเตอร์ให้ภาคราชการ ทำให้ธุรกิจเติบโต
นอกจากจะเป็นตัวแทนไอบีเอ็มแล้ว ยังเป็นตัวแทนให้ AT&T ขาย ดาต้าคิท ระบบสื่อสารข้อมูลพร้อมเสียงให้องค์การโทรศัพท์ จนมาถึงการได้สัมปทานคลื่นความถี่วิทยุอีกหลายคลื่นจาก คณะกรรมการประสานงานการจัดและบริหารความถี่วิทยุแห่งชาติ หรือ กบถ. โดยร่วมทุนกับต่างชาติให้บริการ แพ็คลิงค์ เพจเจอร์ ในยุคแรก และต่อมาทำเองในชื่อของ โฟนลิงค์
จากนั้นคุณทักษิณได้ สัมปทานโทรศัพท์ GSM 900 MHz และ ดาวเทียมไทยคม
คุณทักษิณจึงลาออกหลังจากรับราชการมา 8 ปี และ พันตำรวจโท เป็นยศสุดท้าย (แต่ยศถูกถอดโดยคสช. ในปี 2558)
ปี 2533
ตอนอายุ 41 ปี คุณทักษิณ IPO บริษัทเข้าตลาดหลักทรัพย์เป็นครั้งแรก..
บริษัทหลักของคุณทักษิณ มี 3 บริษัทดังนี้
บริษัท ชินวัตรคอมพิวเตอร์เซอร์วิสแอนด์อินเวสเมนท์ จำกัด (ชินคอร์ป หรือ อินทัชในปัจจุบัน) ก่อตั้งปี 2526 IPO ปี 2533 บริษัทนี้เป็น โฮลดิ้งคอมพานี ถือหุ้นบริษัทอื่น ปัจจุบันถือหุ้น AIS 40.45% และ ไทยคม 41.41%
บริษัท แอดวานซ์ อินโฟร์ เซอร์วิส จำกัด (AIS) ก่อตั้งปี 2529 IPO ปี 2534
บริษัท ชินแซทเทลไลท์ จำกัด (ไทยคม ในปัจจุบัน) ก่อตั้งปี 2534 IPO ปี 2537
คุณทักษิณไม่ได้ถือหุ้น AIS และ ไทยคม แต่ถือหุ้นในชินคอร์ป แล้วเอาชินคอร์ปมาถือ AIS และ ไทยคมอีกที หมายความว่าถ้าทักษิณขายกิจการทั้งหมดให้คนอื่น ก็ขายหุ้นในชินคอร์ปทีเดียว
หลังจากนั้นคุณทักษิณก็เริ่มเข้าสู่การเมือง โดยการชักชวนจาก พลตรีจำลอง ศรีเมือง..
ปี 2544
ตอนอายุ 52 ปี คุณทักษิณได้เป็นนายกรัฐมนตรีคนที่ 23 และ เป็นนายกคนแรกและคนเดียวที่มาจากการเลือกตั้ง ที่อยู่จนครบเทอม
ก่อนเข้ารับตำแหน่ง คุณทักษิณและภรรยาได้ชี้แจงทรัพย์สิน 15,124 ล้านบาท มีผลงานมากมายภายใต้รัฐบาล ตั้งแต่ โครงการ 30 บาทรักษาทุกโรค หนึ่งตำบลหนึ่งผลิตภัณฑ์ แปลงสินทรัพย์ให้เป็นทุน ครัวไทยครัวโลก สนามบินสุวรรณภูมิ การแปลงรัฐวิสาหกิจให้เป็นบริษัทในตลาดหลักทรัพย์ หวยบนดิน
ทำให้ ถัดมาในสมัยที่ 2 ก็ชนะการเลือกตั้งอีกในปี 2548
มีคนรักก็ต้องมีคนเกลียด
ในอีกด้านของการบริหาร มีคนโจมตีนโยบายประชานิยม ไม่ชี้แจงรายละเอียดทรัพย์สินให้ครบโดยอ้างว่าเผอเรอ และ
มีการเปลี่ยนสัญญาหลายฉบับเพื่อเอื้อให้บริษัทกลุ่มชินวัตรซึ่งเป็นสาเหตุทำให้ศาลตัดสินยึดเงินในเวลาต่อมา
ปี 2549 จุดเปลี่ยน
เรื่องที่พีคสุดก็คงจะหนีไม่พ้น ปี 2549 คุณทักษิณขายหุ้นชินคอร์ป ให้เทมาเส็ก บริษัทลงทุนของรัฐบาลสิงคโปร์
ดีลตอนนั้นมีมูลค่า 73,274 ล้านบาท ซึ่งเป็นดีลประวัติศาสตร์ที่สูงสุดในไทยเวลานั้น
โดยมีประเด็นที่หนึ่งคือ ทักษิณขายหุ้นหลังจากใช้ พรบ โทรคมนาคม ฉบับใหม่เพียง 2 วัน
พรบ โทรคมนาคมฉบับใหม่มีเนื้อหาอะไรที่สำคัญ?
พรบ นี้อนุญาตให้คนต่างประเทศ ถือหุ้นในบริษัทโทรคมนาคมเพิ่มขึ้นจาก 25% เป็น 50%
และก็ดูเป็นการสอดคล้องกันว่า ใน 2 วันต่อมา คุณทักษิณขายหุ้น 49.595% ในบริษัทชินคอร์ปให้เทมาเส็ก
และอีกประเด็นคือ การไม่เสียภาษีในการขายหุ้น
บริษัทแอมเพิลริช คือบริษัทของคุณทักษิณที่อยู่ในบริติช เวอร์จิน ถ้าขายให้เทมาเส็กตรงๆจะต้องเสียภาษี เพราะแอมเพิลริชถือว่าเป็นนิติบุคคล ถ้านิติบุคคลขายหุ้นมีกำไรจะต้องเสียภาษี
คุณทักษิณจึงเลี่ยงให้แอมเพิลริชไปขายต่อให้ลูกของคุณทักษิณในราคาต่ำ (ราคาต่ำเพื่อไม่ให้แอมเพิลริชมีกำไร ทำให้ไม่โดนภาษี) และให้ลูกมาขายต่อให้เทมาเส็กอีกทีหนึ่ง (เพราะ บุคคลธรรมดาซื้อขายหุ้นในตลาดหลักทรัพย์ไม่ต้องเสียภาษี)
สรุปแล้วดีลนี้คุณทักษิณใช้ช่องโหว่ทางกฎหมายที่ แม้แต่ตัวกรมสรรพากรเองก็ยัง งง กลับความเห็นไปมา ไม่รู้จะเก็บภาษีดีไหม
เพราะถ้าดูที่กฎหมายตรงๆก็ไม่ต้องเสียภาษี แต่ความเห็นสรรพากรครั้งสุดท้ายคือ เจตนานี้จัดว่าเป็นนิติกรรมอำพรางให้โดนเก็บภาษีด้วย
แต่อย่างไรก็ตาม..
เรื่องนี้ได้เปลี่ยนชีวิตคุณทักษิณไปตลอดกาล
เรื่องนี้เป็นจุดที่ทำให้เรื่องใหญ่โตขึ้นมา จนคุณทักษิณต้องยุบสภา และมีเรื่องราวต่างๆตามมา ทำให้เกิดสูญญากาศทางการเมือง จึงทำให้เกิดรัฐประหารในวันนี้เมื่อ 11 ปีที่แล้ว..
ปี 2553
ศาลฎีกาตัดสินยึดเงินคุณทักษิณ 46,373 ล้านบาทให้ตกเป็นของแผ่นดิน โดยเหตุผลคือ ใช้อำนาจในฐานะนายกรัฐมนตรีเพื่อเอื้อประโยชน์ให้ธุรกิจของตนเอง มีการแก้ไขสัญญาหลายฉบับเพื่อเอื้อให้ AIS และ ไทยคม ให้มีค่าใช้จ่ายที่ถูกลง
46,373 ล้านบาทที่โดนยึดคือ ส่วนของกำไร และเงินปันผล หลังจากการเป็นนายกรัฐมนตรี
สรุปแล้วคุณทักษิณได้เงินมาจากเทมาเส็ก 73,274 ล้านบาท โดยไม่เสียภาษี แต่มาโดนยึด 46,373 ล้านบาท คิดง่ายๆก็เหลือ 26,901 ล้านบาท
นี่ยังไม่รวมสรรพากรที่จะเรียกเก็บภาษีย้อนหลังจากการขายหุ้นเทมาเส็ก ฝ่ายคุณทักษิณมองว่าเงินส่วนกำไรโดนยึดไปแล้ว จะมาเก็บภาษีอะไรอีก เพราะไม่มีกำไรแล้ว แต่อีกฝ่ายก็มองว่าเป็นต่างกรรมต่างวาระ มีสิทธิยึดอีกได้
สรรพากรเรียกเก็บภาษีพร้อมดอกเบี้ยย้อนหลัง 17,629.58 ล้านบาท
ถ้าสรรพากรตามเก็บได้จริงเงินคุณทักษิณก็จะเหลือ 9,271.42 ล้านบาท (น้อยกว่าครอบครัวคุณต๊อบ เถ้าแก่น้อย ที่ตอนนี้มีทรัพย์สินมูลค่า 19,409 ล้านบาท)
ปี 2560
แล้วถ้าทักษิณไม่ขายหุ้นให้เทมาเส็กในตอนนั้น ตอนนี้ คุณทักษิณจะมีเงินเท่าไร?
บริษัทอินทัช (ชินคอร์ปเดิม) ตอนนี้มีมูลค่าบริษัท 189,980 ล้านบาท
ถ้าคุณทักษิณถือสัดส่วนเดิมที่ 49.595% ตอนนี้จะมีมูลค่า 94,220 ล้านบาท
หลายคนอาจจะคิดว่าเยอะแล้ว แต่จริงๆแล้วเงินปันผลตั้งแต่ปี 2549 ที่บริษัทชินคอร์ปจ่ายทั้งหมดให้ผู้ถือหุ้นรวมกันมากถึง 138,288 ล้านบาท เมื่อคูณสัดส่วน 49.595% จะได้เป็น 68,584 ล้านบาท
เมื่อรวม 2 รายการเข้าด้วยกันก็จะได้คำตอบว่า ถ้าคุณทักษิณยังถือหุ้นชินคอร์ปอยู่
คุณทักษิณจะมีเงิน 162,804 ล้านบาท..
เงินจำนวนนี้มากกว่ามูลค่าที่ขายให้เทมาเส็ก 2 เท่า และเทียบไม่ได้เลยกับเงินที่เหลือหลังจากโดนยึดไป
และถ้าคุณทักษิณยังถือหุ้นชินคอร์ปอยู่ คุณทักษิณน่าจะติดอันดับคนรวยอันดับที่ 5 ของประเทศไทย เป็นรองเพียงเจ้าของ ซีพี ไทยเบฟ เซ็นทรัล และ กระทิงแดง
แต่ตอนนี้คุณทักษิณอายุ 68 ปี แล้ว และกำลังลี้ภัยอยูที่ดูไบ มีคดีความ 7 คดี หย่ากับคุณหญิงพจมาน ภรรยา
เรื่องนี้ทำให้คิดได้ว่า ไม่ว่าคนเราจะรวยแค่ไหน สิ่งที่ต้องการจริงๆก็คงจะเป็นความสุข ไม่ใช่ตัวเงิน
ถ้าโลกนี้มีปุ่มให้ RESET แล้วกดย้อนกลับไปเริ่มต้นใหม่ในจุดเดิมในอดีต
ก็น่าสงสัยว่าคุณทักษิณอยากกดปุ่มนั้น หรือไม่? คุณทักษิณอยากกด RESET ปี ย้อนกลับไปปี 2544 แล้วหยุดเล่นการเมือง หรือไม่?
11 ปีที่ผ่านมาก็คงเป็น 11 ปีที่หายไปของคุณทักษิณ
แต่จริงๆแล้ว ไม่ใช่ทักษิณ แต่น่าจะเป็น 11 ปีที่หายไปของเราทุกคน..
ประเทศไทย
เรื่องราวทั้งหมด สิ่งที่เกิดขึ้น พวกเราเกี่ยวข้องกันทั้งหมด จากอดีตสู่ปัจจุบัน
ผลจากการกระทำของทุกคน ได้ส่งผลมาจนถึงวันนี้
และ คงโชคร้ายสำหรับเรา ที่โลกนี้ไม่มีปุ่ม RESET ให้ย้อนกลับไป
แต่สิ่งที่จะเกิดขึ้นต่อไป คืออนาคตของเรา ตัวเราเองจะเป็นคนให้กำเนิดอนาคต
แล้วเราทุกคนจะเลือกทางเดินแบบไหน ที่ภูมิใจได้ว่า เป็นทางเดินที่ถูกแล้ว และ ไม่อยากกดปุ่ม RESET อีกต่อไป..
"เพราะว่าเป็นประเทศของเรา
ไม่ใช่ประเทศของหนึ่งคนสองคน
เป็นประเทศของคนทุกคน
เพราะปัญหามีอยู่ที่เวลาเกิดจะใช้คำว่า บ้าเลือด
เวลาคนมีการปฎิบัติรุนแรงมันลืมตัว
ลงท้ายเขาไม่รู้ว่าตีกันเพราะอะไร
แล้วก็จะแก้ปัญหาอะไร
เพียงแต่ว่าจะต้องเอาชนะ
แล้วใครจะชนะ ไม่มีทาง
อันตรายทั้งนั้น มีแต่แพ้
คือต่างคนต่างแพ้
ผู้ที่เผชิญหน้าก็แพ้
แล้วที่แพ้ที่สุดก็คือประเทศชาติ
ประชาชนจะเป็นประชาชนทั้งประเทศ
ไม่ใช่ประชาชนเฉพาะในกรุงเทพมหานคร
ถ้าสมมติว่า
เฉพาะในกรุงเทพมหานครเสียหายไป
ประเทศก็เสียหายไปทั้งหมด
แล้วก็จะมีประโยชน์อะไร
ที่จะทะนงตัวว่าชนะ
เวลาอยู่บนกองซากปรักหักพัง"
พระราชดำรัส พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช
20 พฤษภาคม 2535
© 2024 Longtunman. All rights reserved. Privacy Policy.
Blockdit Icon