LTF Countdown! นับถอยหลังโอกาสสุดท้ายลดหย่อนภาษีด้วย LTF
ผู้สนับสนุน..
LTF Countdown! นับถอยหลังโอกาสสุดท้ายลดหย่อนภาษีด้วย LTF
LTF Countdown! นับถอยหลังโอกาสสุดท้ายลดหย่อนภาษีด้วย LTF
รู้หรือไม่ ปีนี้จะเป็นปีสุดท้ายที่จะสามารถซื้อ LTF เพื่อลดหย่อนภาษีได้
เมื่อได้ยินแบบนี้หลายคนอาจจะกังวลว่า แล้วกองทุนจะยังอยู่ไหม ยังลงทุนได้ต่อในปีต่อๆ ไปได้หรือไม่?
คำตอบก็คือ
กองทุน LTF เดิมยังดำเนินต่อไปเหมือนเดิม แต่แค่ในปีหน้า หรือ ปี พ.ศ. 2563 หากซื้อ LTF ก็จะไม่สามารถนำไปลดหย่อนภาษีได้
กองทุน LTF เดิมยังดำเนินต่อไปเหมือนเดิม แต่แค่ในปีหน้า หรือ ปี พ.ศ. 2563 หากซื้อ LTF ก็จะไม่สามารถนำไปลดหย่อนภาษีได้
ซึ่งนโยบายการบริหารกองทุน LTF ก็ยังเหมือนเดิม ไม่ได้เปลี่ยนแปลงไป ดังนั้นหากใครที่ต้องการลงทุนในกองทุนหุ้นระยะยาว LTF ก็ถือเป็นหนึ่งในกองทุนที่ตอบโจทย์การลงทุนเพื่อสร้างผลตอบแทนระยะยาว แถมยังได้สิทธิ์ลดหย่อนภาษีอีกด้วย
อย่างไรก็ตาม
ปีนี้ซึ่งเหลือเวลาอีกประมาณ 10 วันเท่านั้น ถือเป็นโอกาสสุดท้ายที่สามารถใช้สิทธิ์ลดหย่อนภาษีจาก LTF ได้สูงสุดถึง 500,000 บาท
ปีนี้ซึ่งเหลือเวลาอีกประมาณ 10 วันเท่านั้น ถือเป็นโอกาสสุดท้ายที่สามารถใช้สิทธิ์ลดหย่อนภาษีจาก LTF ได้สูงสุดถึง 500,000 บาท
หากใครที่สนใจลงทุน LTF ปีสุดท้าย และ RMF แล้วไม่รู้ว่าจะเลือกกองทุนไหนดี?
KAsset หรือ บลจ.กสิกรไทย ซึ่งล่าสุดเพิ่งคว้ารางวัลบลจ.ยอดเยี่ยม SET Awards 2019 มาหมาดๆ และครองรางวัลนี้มาถึง 2 ปีซ้อนแล้ว มี 2 กองทุนตัว TOP มาเสนอ
นั่นก็คือ กองทุนเปิดเค หุ้นระยะยาวปันผล “KDLTF” และ กองทุนเปิดเค หุ้นทุนเพื่อการเลี้ยงชีพ “KEQRMF”
แล้ว 2 กองทุนนี้น่าสนใจอย่างไร?
ก่อนอื่น อย่างที่หลายท่านทราบดีว่า เวลานี้เศรษฐกิจโลกของเรานั้นมีความผันผวนอย่างมาก เพราะมีปัจจัยต่างๆมากระทบอยู่ตลอดเวลา ทั้งด้านสงครามการค้า ค่าเงิน และเรื่องของอัตราดอกเบี้ยที่ค่อนข้างต่ำทั้งในประเทศและต่างประเทศ
ส่งผลให้หลายๆ คนระมัดระวังในการลงทุนมากขึ้น เพราะมีความกังวลเรื่องความไม่แน่นอนของสถานการณ์ดังกล่าว
ก่อนอื่น อย่างที่หลายท่านทราบดีว่า เวลานี้เศรษฐกิจโลกของเรานั้นมีความผันผวนอย่างมาก เพราะมีปัจจัยต่างๆมากระทบอยู่ตลอดเวลา ทั้งด้านสงครามการค้า ค่าเงิน และเรื่องของอัตราดอกเบี้ยที่ค่อนข้างต่ำทั้งในประเทศและต่างประเทศ
ส่งผลให้หลายๆ คนระมัดระวังในการลงทุนมากขึ้น เพราะมีความกังวลเรื่องความไม่แน่นอนของสถานการณ์ดังกล่าว
แต่อย่างไรก็ตามสำหรับกองทุนอย่าง KDLTF และ KEQRMF ซึ่งจัดตั้งกองทุนมาเกินกว่า 10 ปีแล้วทั้งคู่
และเน้นลงทุนในหุ้นบริษัทขนาดใหญ่ในประเทศไทยที่มีเสถียรภาพ ซึ่งมีการเติบโตอย่างมากในช่วงหลายปีที่ผ่านมา ทำให้กองทุนนั้นสามารถสร้างผลตอบแทนได้ดีแม้ในสภาวะที่ตลาดผันผวน
และเน้นลงทุนในหุ้นบริษัทขนาดใหญ่ในประเทศไทยที่มีเสถียรภาพ ซึ่งมีการเติบโตอย่างมากในช่วงหลายปีที่ผ่านมา ทำให้กองทุนนั้นสามารถสร้างผลตอบแทนได้ดีแม้ในสภาวะที่ตลาดผันผวน
เราลองมาดูตัวอย่างหุ้นบริษัทใหญ่ ที่น่าสนใจกัน
ในช่วง 5 ปีที่ผ่านมา (ข้อมูล ณ วันที่ 13 ธ.ค. 2562)
AOT ราคาปัจจุบัน 75.50 บาท เพิ่มขึ้น 172.6%
CPALL ราคาปัจจุบัน 73.25 บาท เพิ่มขึ้น 77.6%
PTT ราคาปัจจุบัน 44 บาท เพิ่มขึ้น 33.3%
AOT ราคาปัจจุบัน 75.50 บาท เพิ่มขึ้น 172.6%
CPALL ราคาปัจจุบัน 73.25 บาท เพิ่มขึ้น 77.6%
PTT ราคาปัจจุบัน 44 บาท เพิ่มขึ้น 33.3%
จะเห็นได้ว่าในช่วงหลายปีที่ผ่านมานั้น
ถึงแม้จะมีเหตุการณ์ที่มากระทบเศรษฐกิจไทยอยู่หลายครั้ง แต่หุ้นทั้ง 3 ก็ยังคงแข็งแกร่งและสามารถเติบโตได้ดี
ถึงแม้จะมีเหตุการณ์ที่มากระทบเศรษฐกิจไทยอยู่หลายครั้ง แต่หุ้นทั้ง 3 ก็ยังคงแข็งแกร่งและสามารถเติบโตได้ดี
ซึ่งทั้ง KDLTF และ KEQRMF นั้น ก็ให้น้ำหนักกับการลงทุนในหุ้นของทั้ง 3 บริษัทที่กล่าวมาเป็นอันดับต้นๆ
แล้วผลการดำเนินงานของทั้ง 2 กองทุนที่ผ่านมาเป็นอย่างไร?
สำหรับกองทุน KDLTF
KDLTF เป็นกองทุนรวมหุ้นระยะยาว ที่จ่ายปันผลสูงสุดของกสิกรไทย รวมเป็นเงิน 10.37 บาทต่อหน่วย และมีการจ่ายเงินปันผลต่อเนื่องตั้งแต่จัดตั้งรวม 24 ครั้งแล้ว (กองทุนจัดตั้ง ณ วันที่ 19 ต.ค. 2547)
KDLTF เป็นกองทุนรวมหุ้นระยะยาว ที่จ่ายปันผลสูงสุดของกสิกรไทย รวมเป็นเงิน 10.37 บาทต่อหน่วย และมีการจ่ายเงินปันผลต่อเนื่องตั้งแต่จัดตั้งรวม 24 ครั้งแล้ว (กองทุนจัดตั้ง ณ วันที่ 19 ต.ค. 2547)
โดยในระยะ 3 ปีที่ผ่านมา ให้อัตราผลตอบแทนเฉลี่ยปีละ 5.18% (ข้อมูล ณ วันที่ 27 พ.ย. 2562)
ส่วน KEQRMF ซึ่งเป็นกองทุนรวมเพื่อการเลี้ยงชีพ ก็ได้รับการจัดอันดับอยู่ในระดับ 4 ดาว จาก Morningstar และติดอันดับ Top 5 กองทุนที่ให้ผลตอบแทนสูงสุดในระยะเวลา 7 ปี (ข้อมูล ณ วันที่ 31 ต.ค. 2562)
โดยในระยะเวลา 3 ปีที่ผ่านมา ให้อัตราผลตอบแทนเฉลี่ยปีละ 7.09% (ข้อมูล ณ วันที่ 27 พ.ย. 2562)
โดยในระยะเวลา 3 ปีที่ผ่านมา ให้อัตราผลตอบแทนเฉลี่ยปีละ 7.09% (ข้อมูล ณ วันที่ 27 พ.ย. 2562)
จะเห็นได้ว่าหากมองในเรื่องของผลตอบแทนระยะยาว ทั้งกองทุน KDLTF และ KEQRMF ยังถือว่าเป็นกองทุนที่น่าสนใจอยู่ ยิ่งสำหรับคนที่ต้องการซื้อเพื่อลดหย่อนภาษี ซึ่งเป็นปีสุดท้ายที่จะได้สิทธิ์จากการซื้อกองทุน LTF และอย่าลืมว่าปีหน้า กองทุน SSF ที่จะมาแทน LTF นั้น ลดหย่อนภาษีได้น้อยกว่าปีนี้ เพราะต้องนำไปคิดรวมกับกองทุน RMF แล้วไม่เกิน 500,000 บาท ในขณะที่ปีนี้สามารถลดหย่อนได้สูงสุดประเภทละไม่เกิน 500,000 บาท
ดังนั้นโอกาสการลงทุนได้มากขนาดนี้ มีเฉพาะปีนี้ปีสุดท้าย ยิ่งถ้าหากเราซื้อเป็นคู่ทั้ง LTF และ RMF ก็จะยิ่งสามารถลดหย่อนได้เพิ่มมากขึ้นอีกด้วย
อย่างไรก็ตาม หากเรายังไม่แน่ใจว่า ควรลงทุนในกองทุนเท่าไร? หรือช่วยลดหย่อนภาษีได้แค่ไหน?
สามารถเข้าไปลองคำนวณจำนวนที่สามารถลงทุน LTF และ RMF ได้สูงสุด พร้อมจำนวนที่ลดหย่อนภาษีได้ที่ https://bit.ly/35UqqJS
สามารถเข้าไปลองคำนวณจำนวนที่สามารถลงทุน LTF และ RMF ได้สูงสุด พร้อมจำนวนที่ลดหย่อนภาษีได้ที่ https://bit.ly/35UqqJS
พิเศษ! สำหรับคนที่ซื้อ LTF และ/หรือ RMF กสิกรไทย ผ่านแอป K PLUS หรือ K-My Funds ตั้งแต่วันที่ 1 พ.ย. - 30 ธ.ค. 2562 รับฟรี Starbucks e-Coupon สูงสุด 500 บาท เมื่อลงทุนตามเงื่อนไขที่ บลจ.กสิกรไทยกำหนด
สำหรับผู้ที่สนใจสามารถอ่านข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ https://bit.ly/33mrHId
#KAsset #KDLTF #KEQRMF #คำตอบที่ใช่ของการลงทุน
คำเตือน
• ผู้ลงทุนโปรดทำความเข้าใจลักษณะสินค้า เงื่อนไข ผลตอบแทน ความเสี่ยง และคู่มือการลงทุนก่อนตัดสินใจลงทุน
• ผลการดำเนินงานในอดีต มิได้ยืนยันถึงผลการดำเนินงานในอนาคต
• เงินปันผลจะถูกหักภาษี ณ ที่จ่าย 10% โดยผู้ลงทุนสามารถเลือกนำไปคำนวณ หรือไม่คำนวณภาษีเงินได้ประจำปี
• ผู้ลงทุนโปรดทำความเข้าใจลักษณะสินค้า เงื่อนไข ผลตอบแทน ความเสี่ยง และคู่มือการลงทุนก่อนตัดสินใจลงทุน
• ผลการดำเนินงานในอดีต มิได้ยืนยันถึงผลการดำเนินงานในอนาคต
• เงินปันผลจะถูกหักภาษี ณ ที่จ่าย 10% โดยผู้ลงทุนสามารถเลือกนำไปคำนวณ หรือไม่คำนวณภาษีเงินได้ประจำปี