รากเหง้า ของปัญหาฮ่องกง

รากเหง้า ของปัญหาฮ่องกง

รากเหง้า ของปัญหาฮ่องกง / โดย ลงทุนแมน
ฮ่องกง คือเมืองที่มีตึกระฟ้ามากที่สุดในโลก (1,300 ตึก ที่สูงมากกว่า 100 เมตร)
ฮ่องกง คือเมืองที่มีคนรวย 2 คน ติดอันดับรวยที่สุดในโลก 25 คนแรก โดยธุรกิจหลักของพวกเขาคือ อสังหาริมทรัพย์
ฮ่องกง คือเมืองที่มีราคาบ้านเพิ่ม 2 เท่าภายใน 5 ปี และแพงอันดับ 2 ของโลกรองจากโมนาโก ห้องขนาด 30 ตารางเมตรในฮ่องกง มีราคา 50 ล้านบาท
ฮ่องกง คือเมืองที่ได้ชื่อว่ามีการค้าเสรีมากที่สุดในโลก ทำให้ฮ่องกงเป็นศูนย์กลางการค้า และการเงินของภูมิภาคเอเชีย
และฮ่องกง คือหนึ่งในเมืองที่มีความเหลื่อมล้ำระหว่างคนรวย คนชั้นกลาง และชั้นแรงงาน มากที่สุดในโลก
ฮ่องกงดูเป็นที่สุดในโลกในทุกด้าน
การเป็นที่สุด
ย่อมมีความแตกต่างซ่อนอยู่ภายใน
จนในบางครั้ง มันก็สะสมไว้ รอวันที่ระเบิดออกมา
สาเหตุใด? จึงทำให้เกิดการประท้วงในฮ่องกง ดำเนินมาถึงสัปดาห์ที่ 12
ลงทุนแมนจะเล่าให้ฟัง
ถึงแม้ แคร์รี่ หล่ำ จะออกประกาศว่า ได้หยุดพิจารณาร่างกฎหมายส่งผู้ร้ายข้ามแดนแล้ว
แต่การประท้วงก็ยังยกระดับไปถึงการปิดสนามบิน
ถ้าถามว่ามีแค่คนกลุ่มใดกลุ่มหนึ่งของฮ่องกงที่มาชุมนุมหรือไม่
เมื่อไปหาข้อมูลแล้วกลับต้องแปลกใจว่า ผู้เข้าร่วมชุมนุมมาจากบุคคลหลากวิชาชีพ ตั้งแต่ นักศึกษา ครู นักกฎหมาย ไปจนถึงพนักงานในสายการบิน และนั่นก็เป็นสาเหตุที่ทำให้สายการบินคาเธ่ย์ แปซิฟิคต้องยกเลิกเที่ยวบินมากมาย
ข้อเรียกร้องของกลุ่มผู้ชุมนุมตอนนี้คืออะไร?
ข้อเรียกร้อง นอกจากการถอดถอนกฎหมายส่งผู้ร้ายข้ามแดน คือ ผู้ชุมนุมต้องการแก้กฎหมายให้มีการเลือกตั้งที่เป็นประชาธิปไตย (Universal Suffrage) และให้ แคร์รี่ หล่ำ ลาออก
Cr. The Guardian
ย้อนดูประวัติศาสตร์ฮ่องกง เมืองที่เป็น การผสมผสานของวัฒนธรรมตะวันออกและตะวันตก
ค.ศ. 1898 สงครามฝิ่นเป็นจุดเริ่มของเรื่องราวทั้งหมด
อังกฤษได้ครอบครองฮ่องกงจากจีนแบบเสรีนิยมเป็นเวลา 99 ปี ด้วยนโยบายการค้าเสรีทำให้ฮ่องกงกลายเป็นเมืองท่า ศูนย์กลางเศรษฐกิจและการเงินของโลก
ค.ศ. 1997 หรืออีก 99 ปีถัดมา อังกฤษได้ส่งมอบฮ่องกงคืนให้กับจีน ธงชาติยูเนียนแจ็กของอังกฤษ ได้ถูกแทนที่ด้วย ธงชาติ 5 ดาวของจีน
รัฐบาลปักกิ่งได้ ตกลงให้ปกครองฮ่องกงด้วย หนึ่งประเทศ สองระบบ ไปอีก 50 ปี เพื่อให้เศรษฐกิจ ธุรกิจ ดำเนินไปเหมือนเดิม ยกเว้นเรื่องการทหารและการต่างประเทศ ที่รัฐบาลปักกิ่งเป็นผู้ดูแล
ค.ศ. 2019 หรืออีก 22 ปี หลังจากอยู่ภายใต้การดูแลของจีน คนฮ่องกงคาดหวังว่าจะมีสิทธิเสรีภาพในการเลือกผู้บริหารเขตฮ่องกง และสภานิติบัญญัติ
เรามาดูความจริงที่เกิดขึ้นกัน
คนฮ่องกง 3.5 ล้านคนที่มีสิทธิออกเสียงเลือกตั้ง ไม่ได้ออกเสียงเลือกตั้งผู้บริหารเขตฮ่องกง
โดยที่ผ่านมา ผู้บริหารเขตฮ่องกงมาจากการเลือกโดยคณะกรรมการการเลือกตั้ง 1,200 คน ซึ่งได้มาจากการแต่งตั้ง และการแต่งตั้งผู้บริหารเขตฮ่องกงต้องได้รับการเห็นชอบจากรัฐบาลปักกิ่ง
ปัจจุบัน ฮ่องกงเป็นตลาดทุนอันดับ 3 ของโลก มีมูลค่าตลาดรวมกันทั้งหมด 170 ล้านล้านบาท หรือใหญ่กว่าตลาดหลักทรัพย์ไทย 10 เท่า
แต่ภายใต้เศรษฐกิจที่ดูดี ราคาอสังหาริมทรัพย์ นโยบายที่ดินและสวัสดิการบ้านของรัฐบาลฮ่องกง เอื้อต่อนักธุรกิจ ทำให้ราคาที่พักสูงเกินที่คนฮ่องกงทั้งระดับล่างและระดับกลางจะซื้อได้ และนั่นทำให้คนฮ่องกงทั่วไปรู้สึกว่าตัวเขาเองใช้ชีวิตอยู่ลำบากในเมืองที่เขาเกิดมา
Cr. Centaline
ความกังวลเหล่านี้เริ่มก่อตัว และสะสมเป็นเชื้อเพลิง รอวันให้จุดติดอย่างวันนี้
ถามว่าคนฮ่องกงยังให้ความสำคัญกับกฎหมายส่งผู้ร้ายข้ามแดน หรือไม่
คำตอบอาจจะไม่ใช่
หนึ่งประเทศ สองระบบ หรือทุนนิยมที่ฮ่องกงอยากได้ กลับกลายเป็นสิ่งที่เชิดชูคนรวย และทำร้ายคนชั้นกลางในฮ่องกง
ในขณะที่จะให้ไปอยู่ภายใต้จีนที่ปกครองอีกระบบหนึ่ง คนฮ่องกงก็ไม่มีทางเอาด้วย
ทุกอย่างจึงสะสมเป็นความกังวล และความอยากได้โอกาสเลือกผู้นำด้วยตัวเอง เพื่อแก้ปัญหานี้
ในปี ค.ศ. 2047 หรืออีก 28 ปี ข้างหน้า เมื่อครบ 50 ปีของการปกครองแบบหนึ่งประเทศ สองระบบ ความกังวลจะค่อยๆ มากขึ้นกับอนาคตที่รออยู่
-ดอลลาร์ฮ่องกง พาสปอร์ตฮ่องกง จะเป็นอดีต
-ภาษาประจำชาติจะเป็นแมนดาริน ไม่ใช่ กวางตุ้ง
-มีการปกครอง โดยรัฐบาลปักกิ่ง แบบสังคมนิยม
-ฮ่องกงจะเป็นส่วนหนึ่งของ มณฑลกวางตุ้ง หนึ่งใน 23 มณฑลของจีน
-คนฮ่องกง 7.5 ล้านคน จะรวมเป็นส่วนหนึ่งของคนจีน 1,400 ล้านคน
-เซินเจิ้น จะเป็นศูนย์กลางเทคโนโลยี การส่งออก และการเงิน แทนที่ฮ่องกง
ทั้งหมดนี้อยู่ในวงเล็บที่ว่า อาจไม่ต้องรอถึง ปี ค.ศ. 2047 ถ้าสถานการณ์การประท้วงยังไม่ยุติ
Cr. Reuters
ไม่ว่าผู้ประท้วง รัฐบาลจีน และรัฐบาลฮ่องกง จะจบข้อยุติอย่างใด
Graeme Maxton นักเศรษฐศาสตร์ชาวอังกฤษ ได้วิเคราะห์ว่า ระบบเศรษฐกิจที่ปล่อยให้มีการตลาดเสรีอย่างไม่มีข้อจำกัด จะทำให้เกิดความไม่พอใจกับคนส่วนใหญ่
เพราะทำให้เกิดความมั่งคั่งอย่างสุดขั้วกับนักลงทุน และบริษัทไม่กี่ราย
การบริหารเศรษฐกิจและประเทศโดยคิดว่ากลไกตลาดอย่างเดียวจะแก้ปัญหาสังคมอื่นได้ทั้งหมด คือความล้มเหลวของการบริหาร..
ปิดท้ายด้วยคำพูดของ Graeme Maxton ที่น่าคิดคือ
“To govern in the interests of the majority”
© 2024 Longtunman. All rights reserved. Privacy Policy.
Blockdit Icon