เบตาดีน
แทบจะกลายเป็นชื่อสามัญสำหรับยาใส่แผลสดเวลาเลือดออก (เหมือนที่เราติดปากเรียก มาม่า หรือ แฟ้บ)
เบตาดีน มี โพวิโดน ไอโอดีน เป็นส่วนผสมหลักที่ใช้ในการฆ่าเชื้อแบคทีเรีย และยับยั้งการติดเชื้อบริเวณบาดแผล

เบตาดีน เป็นหนึ่งในผลิตภัณฑ์ของบริษัท มุนดิฟาร์มา อินเตอร์เนชั่นแนล บริษัทยาและเวชภัณฑ์ระดับโลก ที่มียอดขายกว่า 400 ล้านเหรียญสหรัฐฯ (ประมาณ 13,400 ล้านบาท) และจำหน่ายมากกว่า 50 ประเทศทั่วโลก

สำหรับประเทศไทย เบตาดีน เริ่มเข้ามาบุกตลาดตั้งแต่ปี พ.ศ. 2531

หลายคนสงสัยว่า แล้วยาแดงหายไปไหน ?

ยาแดง มีส่วนผสมของ เมอร์คิวโรโครม ซึ่งเป็นสารปรอท คนก็เลยกลัวว่าจะเป็นอันตราย

ส่วนทิงเจอร์ไอโอดีน ไม่ต้องพูดถึง แสบมากจนต้องร้องขอชีวิตกันเลยทีเดียว

เบตาดีน เลยกลายมาเป็นพระเอก ด้วยความที่ไม่แสบและรักษาบาดแผลได้ดี

พอเรื่องเป็นอย่างนี้ เบตาดีนจึงครองแชมป์ในตลาดยารักษาแผลสดด้วยส่วนแบ่งการตลาด 50% จากมูลค่าตลาด 250 ล้านบาท

มาดูรายได้ทั้งบริษัท
ปี 2558 บริษัท มุนดิฟาร์มา ประเทศไทย มีรายได้ 120 ล้านบาท
ปี 2559 บริษัท มุนดิฟาร์มา ประเทศไทย มีรายได้ 143 ล้านบาท

อย่างไรก็ตามตลาดยาใส่แผลสดเป็นตลาดที่เล็ก

เราซื้อเบตาดีนมาขวดนึง อยู่ได้หลายปี กว่าจะใช้หมด

จะไปลุ้นให้คนเกิดอุบัติเหตุมีแผลเยอะๆ ก็คงไม่ใช่

แล้วจะทำอย่างไรในการสร้างการเติบโตให้บริษัท?

เบตาดีนคงไปทำการบ้านมาว่าจุดแข็งของแบรนด์คือการฆ่าเชื้อโรค แล้วมีผลิตภัณฑ์อะไรอีกที่ชูจุดเด่นการฆ่าเชื้อโรคได้ และ มีตลาดที่ใหญ่ขึ้น

ปีนี้เบตาดีนจึงคิดการใหญ่ด้วยการกระโดดเข้าสู่ตลาดครีมอาบน้ำเพื่อสุขภาพผิวที่มีมูลค่ามากถึง 1,300 ล้านบาท เพราะมองว่าคนอาบน้ำทุกวัน ต่างกับตลาดเดิมที่คนไม่ได้เป็นแผลกันทุกวัน และตลาดนี้มีผู้เล่นหลัก ๆ แค่ 2 ราย คือ โพรเทคส์ กับ เดทตอล

ครีมอาบน้ำเบตาดีนจ้างพี่ติ๊ก เจษฎาภรณ์ ผลดี และครอบครัว เป็นพรีเซ็นเตอร์ บวกกับระบบกระจายสินค้าที่แข็งแกร่งของ DKSH

เป้าหมายปีแรก ขอส่วนแบ่งการตลาด 10% หรือคิดเป็น 130 ล้านบาท ซึ่งเกือบเท่ารายได้ทั้งหมดของเบตาดีนในปัจจุบัน

ถ้าเบตาดีนทำได้สำเร็จก็แปลว่า จะมีรายได้เพิ่มขึ้นเป็น 2 เท่าทันที

คงต้องติดตามกันต่อไปว่าเบตาดีนจะสามารถก้าวข้ามจากยาใส่แผลมาสู่สบู่ล้างผิวได้สำเร็จหรือไม่..