เกิดอะไรขึ้นกับ BEAUTY

เกิดอะไรขึ้นกับ BEAUTY

เกิดอะไรขึ้นกับ BEAUTY / โดย ลงทุนแมน
คนที่อยู่ในวงการตลาดหุ้นทุกคนน่าจะรู้จักบริษัทนี้
รู้ไหมว่า ในระยะเวลา 1 ปี
มูลค่าบริษัท BEAUTY นั้นลดลงกว่า 57,000 ล้านบาท
ขณะที่กำไรไตรมาสที่ 1/2019 ของบริษัท ที่เพิ่งประกาศออกมานั้น ต่ำที่สุดในรอบ 13 ไตรมาส
แล้วมันเกิดอะไรขึ้นกับ BEAUTY
ลงทุนแมนจะเล่าให้ฟัง
บริษัท บิวตี้ คอมมูนิตี้ จำกัด (มหาชน) หรือ BEAUTY ทำธุรกิจผลิตภัณฑ์เครื่องสำอางและบำรุงผิว โดยมีช่องทางในการจำหน่ายทั้งในประเทศและต่างประเทศ
ปัจจุบัน BEAUTY มีสาขาทั้งหมด 357 สาขา โดย 347 สาขา เป็นสาขาในประเทศ และอีก 10 สาขา เป็นสาขาต่างประเทศ
รายได้ 59% มาจากสาขาที่อยู่ในประเทศไทย
รายได้ 21% มาจากสาขาที่อยู่ในต่างประเทศ
ที่เหลือ 20% มาจากช่องทางโมเดิร์นเทรด ซูเปอร์มาร์เก็ต คอนวีเนียนสโตร์ อีคอมเมิร์ซ และอื่นๆ
ในช่วงที่ผ่านมาหุ้น BEAUTY นับเป็นหนึ่งในหุ้นที่หลายคนคาดหวังว่าจะมีการเติบโตอย่างต่อเนื่อง ความคาดหวังที่สูงจึงสะท้อนมาด้วยราคาหุ้นที่เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว
ในปี 2016 หุ้น BEAUTY เคยขึ้นไปซื้อขายในระดับ P/E ที่สูงกว่า 70 เท่า
ด้วย P/E ระดับนี้ หมายความว่า ถ้าบริษัททำกำไรได้เท่ากันทุกปี นักลงทุนที่ซื้อหุ้น BEAUTY จะต้องรอถึง 70 ปี กว่าที่จะได้กำไรเท่ากับจำนวนเงินที่ลงทุนไป
แต่มองอีกมุมหนึ่ง ถ้ากำไรของบริษัทไม่โตอย่างที่นักลงทุนคาดหวังอย่างที่กำลังเกิดขึ้นตอนนี้
ผลที่ตามมาก็คือ P/E จะลดลงอย่างรวดเร็ว
จนล่าสุดหุ้น BEAUTY นั้นซื้อขายกันที่ P/E เพียง 17 เท่า เท่านั้น
รายได้และกำไรของบริษัท บิวตี้ คอมมูนิตี้ จำกัด (มหาชน)
ไตรมาส 1/2018 รายได้ 898.1 ล้านบาท กำไร 282.4 ล้านบาท
ไตรมาส 1/2019 รายได้ 543.9 ล้านบาท กำไร 69.5 ล้านบาท
จะเห็นว่ารายได้ของบริษัทลดลงไป 39% แต่กำไรกลับลดลงถึง 75%
ที่น่าสนใจคือ การเติบโตของยอดขายสาขาเดิม (Same-Store Sales Growth) ซึ่งเป็นตัวที่ใช้ชี้วัดศักยภาพของธุรกิจค้าปลีก กลับลดลงถึง 48%
นอกเหนือจากการแข่งขันที่สูงในธุรกิจเครื่องสำอางแล้วนั้น บริษัทยังได้รับผลกระทบจากการที่สำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา มีการปราบปรามผลิตภัณฑ์เครื่องสำอางที่ผิดกฎหมาย
แม้บริษัทแจ้งว่า เครื่องสำอางของบริษัทมีการตรวจสอบและผ่านกระบวนการของสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา แต่ก็ทำให้ผู้บริโภคมีความระมัดระวังในการซื้อเครื่องสำอางมากขึ้น
อีกประเด็นคือ ผลกระทบจากการที่จำนวนนักท่องเที่ยวชาวจีนที่มาไทย ซึ่งเป็นกลุ่มลูกค้าหลักลดลงในช่วงที่ผ่านมา
6 เดือนแรกของปี 2561 จำนวนนักท่องเที่ยวจีนเท่ากับ 5.9 ล้านคน
6 เดือนหลังของปี 2561 จำนวนนักท่องเที่ยวจีนเท่ากับ 4.6 ล้านคน หรือลดลงกว่า 1.3 ล้านคนในระยะเวลาเพียง 6 เดือน
cr.thansettakij
พอเรื่องเป็นแบบนี้ จึงไม่แปลกที่ทำให้มูลค่าบริษัทของ BEAUTY นั้นลดลงอย่างหนัก ในช่วงที่ผ่านมา
พฤษภาคม 2018 มูลค่าของ BEAUTY เคยขึ้นไปแตะระดับ 70,000 ล้านบาท
พฤษภาคม 2019 มูลค่าของ BEAUTY กลับเหลือเพียง 13,000 ล้านบาท
หมายความว่าในระยะเวลาประมาณ 1 ปี มูลค่าของบริษัทลดลงกว่า 81%
เรื่องนี้อาจทำให้เราได้เรียนรู้ว่า
ในการลงทุนนั้น เราอาจต้องมองธุรกิจให้ออกว่า สิ่งที่ทุกคนคาดว่าจะดี เป็นเรื่องชั่วคราว หรือ ถาวร
ในบางธุรกิจ มีความแน่นอนสูง อาจจะเหมาะสมในการให้ราคาความคาดหวัง
แต่สำหรับบางธุรกิจที่เติบโตร้อนแรง ถ้าความนิยมนั้นเป็นเรื่องชั่วคราว
มูลค่าที่เราได้จ่ายไป ก็จะหายไปพร้อมกับความคาดหวังที่ลดลง..
----------------------
อ่านลงทุนแมนสนุกขึ้น
อ่านในแอป blockdit
โหลดที่ http://www.blockdit.com
----------------------
References
-https://www.set.or.th/set/newsdetails.do?newsId=15577901564423&language=th&country=TH
-https://www.mots.go.th/more_news.php?cid=502&filename=index
-https://www.set.or.th/set/factsheet.do?symbol=BEAUTY&ssoPageId=3&language=th&country=TH
-Management Discussion and Analysis Quarter 1 Ending 31 Mar 2019
© 2024 Longtunman. All rights reserved. Privacy Policy.
Blockdit Icon