คุยกับ คุณเสาวนีย์ ผไทวณิชย์ CEO JIPJIP Money ขายฝากสินค้าลักชัวรี่ อันดับ 1 ในไทย และ สินเชื่อแบรนด์เนม เจ้าแรกของโลก ภายใต้สโลแกน “เรื่องเงินเรื่องจิ๊บจิ๊บ”

คุยกับ คุณเสาวนีย์ ผไทวณิชย์ CEO JIPJIP Money ขายฝากสินค้าลักชัวรี่ อันดับ 1 ในไทย และ สินเชื่อแบรนด์เนม เจ้าแรกของโลก ภายใต้สโลแกน “เรื่องเงินเรื่องจิ๊บจิ๊บ”

30 เม.ย. 2024
JIPJIP Money x ลงทุนแมน
ไม่ว่าเศรษฐกิจจะดีหรือแย่ แต่มีสินค้ากลุ่มหนึ่งที่ยังปรับเพิ่มราคาอยู่โดยตลอด นั่นคือกระเป๋าแบรนด์เนม
สังเกตได้จากผลประกอบการ ของบริษัทที่ขายสินค้าเหล่านี้เติบโตมาโดยตลอดอย่าง LVMH เจ้าของแบรนด์ Louis Vuitton, Céline, Givenchy และ Dior
บริษัทที่มีรายได้ถึง 3.4 ล้านล้านบาท เติบโตเฉลี่ย 24.5% ต่อปี ขณะที่กำไรเติบโต 47.8% ต่อปี ในระยะเวลา 3 ปีที่ผ่านมา
ส่วนเจ้าของอย่างคุณ Bernard Arnault ก็กลายเป็นมหาเศรษฐีที่รวยที่สุดในโลก โดยมีมูลค่าทรัพย์สิน 7.9 ล้านล้านบาท
แม้ภาพจำของการเป็นกระเป๋าแบรนด์เนม บางคนอาจมองว่าเป็นสิ่งฟุ่มเฟือย
แต่จริง ๆ แล้ว สิ่งนี้นอกจากจะมีคุณค่าทางจิตใจแล้ว อาจกลายเป็นการลงทุนที่ให้ผลตอบแทนที่ดีอีกด้วย

แล้ว กระเป๋าแบรนด์เนม สามารถเป็นสินทรัพย์เพื่อการลงทุนที่ดีได้หรือไม่ ?
ลงทุนแมนจะเล่าให้ฟัง
รู้หรือไม่ ? ช่วง 10 ปีที่ผ่านมา ตลาดราคากระเป๋าแบรนด์เนม เติบโตเฉลี่ย 67% นับว่าสูงกว่าผลตอบแทนจากตลาดหุ้นไทยอย่าง SET50 ที่กลับติดลบ 16.97% ด้วยซ้ำ
ยิ่งสำหรับกระเป๋าแบรนด์เนมที่เป็น Unique Collection หรือมีคนมีชื่อเสียงระดับโลกใช้ด้วย ก็จะยิ่งมีราคาที่เพิ่มขึ้นสูงภายในเวลาอันรวดเร็ว เช่น
- The Hacker Project: GUCCI x BALENCIAGA ราคาขายต่อเพิ่มมากกว่า 100%
- Louis Vuitton Speedy Mini HL ราคาขายต่อเพิ่มมากกว่า 200%
หรือกระเป๋า Hermés Himalaya Birkin ขนาด 30 หนังทำจากจระเข้ ตัวล็อกทำจากทองคำขาว ประดับด้วยเพชร ที่ถูกประมูลในราคา 37 ล้านบาท เมื่อปี 2022
สิ่งที่หลายคนอาจจะยังไม่รู้คือ กระเป๋า Birkin ยังได้รับการกล่าวขานว่า “มีเงินอย่างเดียว ก็อาจจะซื้อไม่ได้”
เพราะลูกค้าจะไม่สามารถเดินเข้าร้าน และขอซื้อกระเป๋า Birkin ได้ทันที แต่จะต้องมีประวัติการซื้อสินค้าของ Hermès สะสมก่อน
แถมลูกค้าหลาย ๆ คนยังต้องลงชื่อรอเป็น Waiting List จองคิวกันข้ามปี เลยทีเดียว
เมื่อความต้องการสินค้า มากกว่าจำนวนสินค้าที่มีอยู่ ประกอบกับความยากในการได้มา ก็ยิ่งทำให้สินค้ามีมูลค่าเพิ่มขึ้นไปอีก จนราคารีเซลสูงขึ้นอยู่ตลอดเวลา
พอเรื่องเป็นแบบนี้ เราจึงเห็นเทรนด์ผู้คนหันมาสะสมกระเป๋าแบรนด์เนม ไม่ต่างไปจากการลงทุนในสินทรัพย์อื่น ๆ
เพราะนอกจากจะมีโอกาสได้รับผลตอบแทนที่น่าสนใจแล้ว ยังได้เติมเต็มความรู้สึกอีกด้วย
อย่างไรก็ตาม กระเป๋าแบรนด์เนมเป็นสินทรัพย์ที่ไม่ได้มีสภาพคล่องในการซื้อขายสูงเท่ากับสินทรัพย์ทางการเงิน ไม่ว่าจะเป็น กองทุนตลาดเงิน หุ้น หรือคริปโท ก็ตาม
แต่คำถามคือ ถ้าเราต้องการสภาพคล่องในการเปลี่ยนเป็นเงินในบางเวลา จะต้องทำอย่างไร ?
จากเรื่องนี้ทำให้คุณเสาวนีย์ ผไทวณิชย์ ผู้ก่อตั้ง JIPJIP Money ที่มีความชื่นชอบและคลุกคลีอยู่ในตลาดกระเป๋าแบรนด์เนมและนาฬิกาอยู่แล้ว ประกอบกับการฟังคำพูดของคุณ Jack Ma ที่บอกว่าอายุ 40 ปี ควรทำในสิ่งที่ตัวเองถนัด จึงเกิดไอเดียธุรกิจใหม่ขึ้นมาที่เกาะกระแสนี้ในประเทศไทย
กลายเป็นธุรกิจ Jipjip Money สินเชื่อแบรนด์เนมเจ้าแรกของโลก และ bagforcash watchforcash ที่เปิดโอกาสให้ผู้คนสามารถนำกระเป๋าแบรนด์เนม และนาฬิกาของตัวเองมาเปลี่ยนเป็นเงินสด ในอัตราดอกเบี้ยที่ถูกกฎหมาย
แล้ว bagforcash และ watchforcash คืออะไร ?
พูดง่าย ๆ ว่าเป็นบริการขายฝาก ที่ให้คนนำกระเป๋ามาแลกเป็นเงินสด เหมาะกับคนที่ต้องการเงินด่วน และคนที่มีกระเป๋าแบรนด์เนมและนาฬิกา แล้วอยากนำมาเปลี่ยนเป็นเงินสดในยามฉุกเฉิน
ข้อดี bagforcash และ watchforcash ของ JIPJIP Money คือ
1. อนุมัติภายใน 45 นาที และรับเงินภายในเวลาไม่เกิน 24 ชั่วโมง
2. คิดดอกเบี้ยเพียง 1.25% ต่อเดือน น้อยที่สุดในตลาด มีมาตรฐาน และถูกต้องตามกฎหมาย
ด้วยวงเงิน 10,000 - 6,500,000 บาทต่อสัญญา
3. เก็บในตู้นิรภัยระดับโลกแบบ 1 ต่อ 1 ไม่ต้องกังวลเลยว่า กระเป๋าของเราจะไปรวมกับของคนอื่น จนอาจทำให้เกิดการสูญหายหรือเสียหายก็ตาม ส่วนข้อมูลของลูกค้าจะถูกเก็บรักษาเป็นความลับสูงสุด
4. จับมือกับบริษัทประกันภัย อย่าง กรุงเทพประกันภัย กับ ERGO Insurance เพื่อเพิ่มความคุ้มครองให้กับลูกค้า
5. มีบริการเมสเซนเจอร์รับ-ส่งถึงบ้าน ไม่ต้องเสียเวลาเดินทางเข้ามาที่สาขาเอง และสำหรับคนที่อยู่ต่างจังหวัดสามารถจัดส่งผ่านขนส่งเอกชนได้เลย
ทั้งนี้ JIPJIP Money เริ่มขยายจากบริการ bagforcash ไปสู่ watchforcash และอนาคตคือ jewerlyforcash
เพราะบริษัทต้องการให้ครอบคลุมหลากหลายสินค้าลักชัวรี่ เพื่อตอบโจทย์ตลาดและภาวะเศรษฐกิจในปัจจุบัน ภายใต้การบริหารงานอย่างมีประสิทธิภาพ และยึดคุณธรรมเป็นหลัก
ซึ่งหากถามว่า สินทรัพย์เหล่านี้ก็สร้างผลตอบแทนได้จริงหรือไม่
จากข้อมูลสถิติย้อนหลัง 10 ปี พบว่า
- ราคานาฬิกา เพิ่มขึ้น 138%
- ราคาเครื่องประดับ เพิ่มขึ้น 37%
จะเห็นได้ว่า สินค้าที่บางคนมองว่าฟุ่มเฟือย ก็สามารถเป็นสินทรัพย์เพื่อการลงทุนได้เช่นกัน
ทำให้ JIPJIP Money มีอีกบริการหนึ่งคือ สินเชื่อแบรนด์เนม โดยเป็นเจ้าแรกและเจ้าเดียวในไทยที่ได้รับใบอนุญาตจากธนาคารแห่งประเทศไทย
แล้วถ้าถามต่อว่า เมื่อตลาดหอมหวานขนาดนี้ JIPJIP Money กลัวคู่แข่งเจ้าใหม่ที่มีจะเข้ามากินส่วนแบ่งตลาดหรือไม่ ?
JIPJIP Money มองว่ามีโอกาสที่จะเกิดคู่แข่ง แต่มองว่าตนเองก็มีความสามารถครองเบอร์ 1 ได้จากการนำเทคโนโลยีและ AI เข้ามาช่วยยกระดับการทำงาน รวมถึงมีบริษัทยักษ์ใหญ่เข้ามาร่วมทุน ซึ่งอยู่ในระหว่างขั้นตอนการพูดคุยและเจรจา
ทีนี้เราลองมาดูจุดเด่น ของ JIPJIP Money กันบ้าง
- การมี AI ประกอบการใช้ตรวจสอบว่าสินค้าเป็นของแบรนด์เนมจริงหรือไม่ - มีระบบวิเคราะห์ Big Data และการบริหารความเสี่ยงอยู่ต่อเนื่อง ทำให้หนี้เสียเกิดขึ้นได้ยาก
- มีทีมงานผู้เชี่ยวชาญเรื่องสินเชื่อ ที่ชำนาญพอ ๆ กับสถาบันการเงินหลายแห่ง
- ระบบจัดเก็บมาตรฐานระดับโลกและการบริการอย่างมาตรฐานจนเกิดความประทับใจ
จากเรื่องราวทั้งหมดนี้เองทำให้ลูกค้าเกิดความพึงพอใจ และบอกต่อจนมียอดฝากมากกว่า 2,000 ราย ภายใน 1 ปี
มาถึงตรงนี้คงเห็นแล้วว่า กระเป๋าแบรนด์เนม ที่บางคนมองว่าเป็นสินค้าฟุ่มเฟือย จริง ๆ ก็สามารถสร้างผลตอบแทนได้อย่างเป็นกอบเป็นกำ ไม่แพ้กับการลงทุนรูปแบบอื่น ๆ และหากต้องการใช้เงินฉุกเฉิน ก็สามารถนำมาเปลี่ยนเป็นเงินสดได้อย่างง่ายดาย อีกด้วย
แต่สิ่งสำคัญที่ทำให้การลงทุนในกระเป๋าแบรนด์เนมแตกต่างจากการลงทุนรูปแบบอื่น ๆ คือ “คุณค่าทางใจ” ที่วัดเป็นตัวเงินไม่ได้ นั่นเอง..
ผู้ที่สนใจบริการ bagforcash และ watchforcash สามารถศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่
https://www.bagforcash.com โทร 0888-000000 กด 2
https://www.watchforcash.co โทร 0888-000000 กด 2
https://www.jipjipmoney.com โทร 0888-000000 กด 1
© 2024 Longtunman. All rights reserved. Privacy Policy.