ผ้าอ้อม MamyPoko รายได้เท่าไร?

ผ้าอ้อม MamyPoko รายได้เท่าไร?

21 ม.ค. 2018
ผ้าอ้อม MamyPoko รายได้เท่าไร? / โดย เพจลงทุนแมน
ผ้าอ้อมสำหรับเด็กที่ครองตลาดในไทย
รู้หรือไม่ว่า เจ้าของไม่ได้เริ่มต้นธุรกิจมาจากผ้าอ้อม
และยังมีสินค้าอื่นที่หลายคนรู้จักกันดี
เจ้าของคือใคร มีสินค้าอะไรดังอีก
ลงทุนแมนจะเล่าให้ฟัง
ผ้าอ้อมสำหรับเด็กยี่ห้อ มามี่โพโค (MamyPoko) เป็นผลิตภัณฑ์ของบริษัทสัญชาติญี่ปุ่นที่ชื่อว่า ยูนิชาร์ม (Unicharm) ก่อตั้งขึ้นโดยคุณ เคอิชิโระ ทาคาฮาระ (Keiichiro Takahara) เมื่อปี 1961 หรือเมื่อ 57 ปีที่แล้ว
แต่บริษัทไม่ได้ขายผ้าอ้อมสำหรับเด็กมาตั้งแต่ต้น
ตระกูลทาคาฮาระ มีธุรกิจครอบครัวอยู่แล้วเป็นบริษัทผลิตกระดาษ แต่คุณ เคอิชิโระ ลาออกจากบริษัทของที่บ้าน แล้วมาตั้งบริษัทใหม่ หันไปทำแผ่นเซลโลกรีตหรือแผ่นเส้นใยไม้อัดซีเมนต์ (wood wool cement board) ขาย
หลังจากนั้น 2 ปี ก็เริ่มมาจับธุรกิจใหม่อีก คือการผลิตและจำหน่าย ผ้าอนามัย
ต่อมาบริษัทออกผลิตภัณฑ์ใหม่มาขายอีกครั้ง คราวนี้เป็น ผ้าอนามัยแบบสอด
พอเป็นอย่างนี้ คุณ เคอิชิโระ จึงได้ตัดสินใจแยกธุรกิจผลิตภัณฑ์สำหรับผู้หญิงออกมาตั้งเป็นบริษัทใหม่ ในชื่อ Unicharm Corporation และหลังจากนั้น ก็ได้เริ่มเพิ่มสินค้าที่ขายขึ้นมาเรื่อยๆ
ปี 1963 ถือว่า Unicharm เริ่มจากการทำธุรกิจ ผ้าอนามัย
ปี 1974 เริ่มทำผลิตภัณฑ์ทำความสะอาด
ปี 1981 เริ่มทำธุรกิจผ้าอ้อมสำเร็จรูปสำหรับเด็ก
ปี 1987 เริ่มทำผ้าอ้อมสำเร็จรูปสำหรับผู้ใหญ่
มาถึงตรงนี้ก็เท่ากับว่า บริษัทมีขายผลิตภัณฑ์ที่คนใช้เป็นประจำกันสำหรับทุกช่วงอายุกันเลยทีเดียว
หลายคนอาจสงสัยแล้วว่า ผ้าอนามัย ที่ถือเป็นสินค้าต้นกำเนิดของบริษัท จะยังมีขายอยู่หรือไม่
คำตอบคือ มี
และเราก็น่าจะเคยได้ยินกันอยู่บ่อยๆ ด้วย
สินค้าของบริษัทที่มีวางขายอยู่ในเมืองไทย นอกจาก MamyPoko ก็คือ ผ้าอนามัยยี่ห้อ โซฟี (Sofy) และผ้าอ้อมสำหรับผู้ใหญ่ยี่ห้อ ไลฟ์รี่ (Lifree) นั่นเอง
ปัจจุบัน Unicharm จดทะเบียนอยู่ในตลาดหลักทรัพย์โตเกียว มีมูลค่าบริษัท 1.89 ล้านล้านเยน หรือราว 567,600 ล้านบาท ถ้าให้เทียบแล้ว มูลค่าบริษัทก็ใหญ่ประมาณธนาคารกสิกรไทยในบ้านเรา
Unicharm มีบริษัทย่อยอยู่ในประเทศต่างๆ กว่า 35 บริษัท เพื่อดำเนินธุรกิจใน 80 ประเทศทั่วโลก มีพนักงานรวมทั้งหมด 15,842 คน
รายได้ของ Unicharm Corporation
ปี 2014 รายได้ 166,098 ล้านบาท กำไร 9,819 ล้านบาท
ปี 2015 รายได้ 221,612 ล้านบาท กำไร 12,153 ล้านบาท
ปี 2016 รายได้ 213,290 ล้านบาท กำไร 13,240 ล้านบาท
เทียบกับธนาคารกสิกรไทย ปี 2016 กำไร 40,174 ล้านบาท ก็แปลว่า บริษัท Unicharm ซื้อขายกันในราคา PE ที่สูงกว่าหลายเท่า อาจเป็นเพราะตัวธุรกิจ และสินค้ามีแบรนด์ที่แข็งแกร่งวางขายอยู่หลายประเทศ
สัดส่วนรายได้ของ Unicharm
ผลิตภัณฑ์สำหรับเด็ก 46%
ผลิตภัณฑ์สำหรับผู้หญิง 21%
ผลิตภัณฑ์สำหรับผู้ใหญ่ 16%
ผลิตภัณฑ์สำหรับสัตว์เลี้ยง 12%
ผลิตภัณฑ์ทำความสะอาด 4%
อื่นๆ 1%
และรายได้ส่วนใหญ่ของบริษัท มาจากประเทศญี่ปุ่นเอง คิดเป็นสัดส่วนมากถึง 42.6% ของรายได้ทั้งหมด
รองลงมาคือจาก ประเทศจีน มีสัดส่วน 15.2%
และถ้ารวมรายได้จากทุกประเทศในเอเชียแล้ว จะมีสัดส่วนอยู่ที่ 85.5%
แต่ที่น่าสนใจคือ เมื่อประมาณ 8 ปีก่อน บริษัทได้เข้าไปตีตลาดในอินเดีย อีกหนึ่งประเทศที่มีประชากรมากที่สุดในโลก และมีจำนวนเด็กทารกมากกว่าที่ญี่ปุ่นประมาณ 23 เท่า
ถึงแม้ว่าในช่วงแรกจะแทรกตัวเข้าไปลำบาก แต่ตอนนี้ยอดขายของ MamyPoko ในอินเดีย กำลังเติบโตขึ้นในอัตรา 2 เท่าในทุกๆ 2 ปี ไล่แย่งส่วนแบ่งจากเจ้าตลาดอย่าง Pampers (แพมเพิร์ส) ของ P&G อยู่
ส่วนรายได้ของ Unicharm ที่ทำธุรกิจในไทย
ปี 2014 รายได้ 11,749 ล้านบาท กำไร 2,011 ล้านบาท
ปี 2015 รายได้ 14,770 ล้านบาท กำไร 2,816 ล้านบาท
ปี 2016 รายได้ 14,763 ล้านบาท กำไร 2,268 ล้านบาท
ถ้าลองสังเกตดู ทั้งผ้าอ้อมสำหรับเด็ก สำหรับผู้ใหญ่ และผ้าอนามัย ล้วนแล้วแต่เป็นสินค้าที่ใช้ครั้งเดียวแล้วทิ้ง แต่เป็นสินค้าที่ต้องใช้ในชีวิตประจำวัน ทำให้คนต้องหาซื้อมาใช้กันเรื่อยๆ
คล้ายกับเรื่อง มีดโกนหนวดยิลเลตต์ ที่ลงทุนแมนเคยเขียนไป
ซึ่งธุรกิจนี้น่าสนใจตรงที่จะมีรายได้สม่ำเสมอ ทนต่อสภาวะเศรษฐกิจได้มากกว่าสินค้าประเภทอื่น
ถ้าเราสามารถหาอะไรที่คิดว่าคนจะต้องใช้ซ้ำบ่อยๆ มาพัฒนาให้เป็นสินค้าที่ถูกใจผู้บริโภคได้
ก็อาจจะสำเร็จได้เหมือนกับ MamyPoko..
----------------------
ถ้าชอบเรื่องแบบนี้ ให้ติดตามได้ที่แอปพลิเคชั่น ลงทุนแมน
ลงทุนแมนมี "แอป" แล้ว โหลดฟรีที่ longtunman.com/app
ทั้ง iOS และ android
ต่อไปในแอป จะมีเรื่องนอกเหนือจากที่ลงในเฟซบุ๊คด้วย
----------------------
© 2024 Longtunman. All rights reserved. Privacy Policy.