การลงทุนใน มีดโกนหนวด Gillette

การลงทุนใน มีดโกนหนวด Gillette

9 ม.ค. 2018
การลงทุนใน มีดโกนหนวด Gillette / โดย ลงทุนแมน
รู้ไหมว่าคนสมัยก่อนเวลาโกนหนวด
จะนำหินหรือเปลือกหอยคมๆ มาใช้ในการโกนหนวด
ซึ่งทำให้เกิดบาดแผลได้ง่ายมาก
ต่อมาก็เริ่มใช้มีดโกน แต่ก็ไม่สะดวกเพราะต้องมานั่งลับมีด
ทุกวันนี้ทุกคนคงรู้จักมีดโกนหนวด Gillette
ที่โกนหนวดได้ง่าย ไม่ต้องลับมีด ถ้าอยากเปลี่ยนใหม่ก็ทิ้งเลย
ความเป็นมาของบริษัท Gillette ที่ผ่านมาเป็นอย่างไร ลงทุนแมนจะเล่าให้ฟัง
Gillette เป็นแบรนด์แรกที่ผลิตมีดโกนหนวดแบบปลอดภัย และเป็นใบมีดโกนที่ใช้แล้วทิ้ง
โดยผู้ที่คิดค้นมีดโกนหนวดแบบปลอดภัยนี้คือ คิง แคมป์ ยิลเลตต์ (King Camp Gillette) ซึ่งได้รับแรงบันดาลใจมาจากตอนที่ยิลเลตต์เป็นเซลส์แมน
ในปี 1891 หัวหน้าของยิลเลตต์ได้ให้ยิลเลตต์ช่วยคิดเรื่อง สินค้าที่ใช้แล้วทิ้ง เพื่อที่จะดึงให้ลูกค้ากลับมาซื้อซ้ำบ่อยๆ จากคำถามนั้นก็ได้กลายเป็นจุดเริ่มต้นของมีดโกนแบบปลอดภัย Gillette
ในปี 1895 ขณะที่ยิลเลตต์กำลังโกนหนวดอยู่นั้นเขาก็มีไอเดียเกี่ยวกับการทำมีดโกนที่ใช้แล้วทิ้งขึ้นมา และได้เริ่มทำต้นแบบของมีดโกนหนวดขึ้นมา
ปี 1899 เขาได้ยื่นขอจดสิทธิบัตรมีดโกน ในตอนนั้นผู้เชี่ยวชาญบอกว่า “ไม่มีทางที่จะทำให้เหล็กกล้า มีความบางและคมได้หรอก” ซึ่งไม่นานหลังจากนั้น ยิลเลตต์ก็ได้พบกับ William Emery Nickerson ซึ่งต่อมาก็ได้มาเป็นวิศวกรให้กับยิลเลตต์และร่วมกันสร้างมีดโกนขึ้นมา
บริษัท The Gillette Safety Razor Company ได้ก่อตั้งขึ้นมาในปี 1901 หรือเมื่อ 117 ปีที่แล้ว และได้เริ่มทำการวางขายมีดโกนหนวดแบบปลอดภัยในปี 1903
ตอนแรกมีดโกนแบบใหม่ใช้คำโฆษณาว่า “no stropping, no honing” หมายถึงไม่ต้องใช้สายหนัง ไม่ต้องลับมีด ถือเป็นอีกหนึ่งจุดที่เน้นย้ำว่าดีกว่ามีดโกนแบบเก่า (Straight Razors) ซึ่งต้องใช้สายหนังในการลับมีดให้คมตลอดทุกครั้ง
ในปี 1915 บริษัทมียอดขายมีดโกน 450,000 ชิ้น และใบมีดกว่า 70 ล้านใบ ซึ่งเป็นการเติบโตของยอดขายอย่างก้าวกระโดดของบริษัท ทำให้มีดโกน Gillette โด่งดังไปทั่วโลก
ต่อมาในปี 1932 บริษัท Gillette ได้ผลิตใบมีดรุ่นใหม่มาในชื่อ Blue Blade ซึ่งเป็นชื่อที่คุ้นหูคนในสมัยนั้นมาก จากตัวโฆษณาที่ทางบริษัทได้ทำออกมา
หลังจากนั้นในปี 1971 ยิลเลตต์วางสินค้าตัวใหม่ Trac II (Trac 2) ที่มีใบมีด 2 ชั้น ซึ่งเป็นรุ่นที่ช่วยเพิ่มยอดขายและชื่อเสียงให้กับบริษัทเป็นอย่างมาก หลังจากนั้นได้พัฒนามาเรื่อยๆจนถึงปัจจุบันที่มีรุ่น 5 ใบมีดออกมาจำหน่าย
ในช่วงปี 1980 ส่วนแบ่งตลาดของ Gillette ลดลงเหลือประมาณ 55% เนื่องจากบริษัท Bic ในฝรั่งเศสได้เข้ามาตีตลาดไป 22.4% จากการที่ Bic นั้นได้ใช้พลาสติกมาทำด้ามจับทำให้มีราคาที่ถูกกว่า
แต่ Gillette เองก็ได้ออกมีดโกนรุ่นใหม่ออกมารุ่น sensor ซึ่งช่วยให้หัวของมีดโกนปรับโค้งตามรูปหน้าได้อย่างดี และมีการทำด้ามของมีดโกนด้วยพลาสติกออกมาด้วยเพื่อชิงส่วนแบ่งตลาดกลับคืนมา
บริษัท Gillette ช่วงปี 2010 ยังคงมีส่วนแบ่งตลาดสูงถึง 70%
แต่ในที่สุด
ปี 2016 ส่วนแบ่งการตลาดได้ลดลงเหลือเพียง 54% เพราะคู่แข่งรายใหม่
บริษัทสตาร์ตอัพชื่อ Dollar Shave Club ได้เข้ามาแย่งตลาด ด้วยการขายผ่านออนไลน์และมีบริการส่งใบมีดโกนถึงบ้านในทุกเดือนโดยจ่ายค่าบริการเป็นรายเดือน ซึ่งเป็นผลทำให้ Gillette เข้ามาทำการตลาดขายผ่านออนไลน์ด้วยเช่นกัน
ก็ต้องติดตามกันต่อไปว่า Gillette จะยังคงรักษาผู้นำในตลาดมีดโกนหนวดได้ไปตลอดหรือไม่ แต่ในความคิดของหลายคนก็น่าจะยอมรับว่า Gillette น่าจะยังคงครองอันดับหนึ่งไปอีกนาน
ปัจจุบัน Gillette เป็นบริษัทลูกของบริษัท Procter & Gamble (P&G) ซึ่งได้เข้ามาซื้อบริษัท Gillette ในปี 2005
เรามาดูกันว่าบริษัท Gillette และ P&G มีรายได้เท่าไหร่บ้าง
บริษัท Gillette ปี 2016 มีรายได้รวม 6,800 ล้านดอลลาร์ กำไร 1,500 ล้านดอลลาร์
ส่วนบริษัทแม่อย่าง P&G มีรายได้รวม 65,000 ล้านดอลลาร์ กำไร 10,000 ล้านดอลลาร์
สังเกตได้ว่า Gillette มีสัดส่วนมากถึง 10% ของบริษัทยักษ์ใหญ่อย่าง P&G
ที่น่าสนใจคือ ในก่อนหน้านั้นบริษัท Berkshire Hathaway เป็นผู้ถือหุ้นใหญ่ของ Gillette ก่อนที่ P&G จะซื้อ Gillette
Berkshire Hathaway ลงทุนในบริษัท Gillette มานานถึง 16 ปี
Berkshire Hathaway ใช้เงิน 600 ล้านดอลลาร์ ลงทุนใน Gillette
แต่ได้กำไรมากถึง 4,400 ล้านดอลลาร์ (ไม่รวมเงินปันผล)
เจ้าของ Berkshire Hathaway ไม่ใช่ใครที่ไหน แต่เป็นวอเร็น บัฟเฟตต์ นักลงทุนชื่อดัง บุคคลที่รวยอันดับที่ 3 ของโลกในตอนนี้
ตอนนั้น วอเร็น บัฟเฟตต์ มองว่า Gillette เป็นบริษัทที่ตอบสนองต่อความต้องการขั้นพื้นฐานของลูกค้า ทำให้เขาสามารถจินตนาการได้ว่าบริษัทจะเป็นอย่างไรใน 10 ปีได้ไม่ยาก
และในขณะนั้น Gillette เองก็ยังเป็นแบรนด์ที่แข็งแกร่ง ครองส่วนแบ่งตลาดเยอะที่สุดในโลกทำให้ วอร์เร็น บัฟเฟตต์ ตัดสินใจเข้าลงทุนกับ Gillette
เรื่องนี้ทำให้คิดได้ว่า บางทีเรื่องของการลงทุนก็ไม่ได้ต้องการอะไรที่สลับซับซ้อน
แค่คิดว่าคนส่วนใหญ่ต้องใช้สินค้าอะไร ก็แค่นั้น..
“Buy into a company because you want to own it, not because you want the stock to go up.” - Warren Buffett
จงลงทุนในบริษัทเพราะว่าคุณอยากเป็นเจ้าของบริษัท ไม่ใช่เพราะอยากได้กำไรจากราคาหุ้นที่ขึ้น - วอเร็น บัฟเฟตต์
----------------------
<ad> โกนหนวดเสร็จแล้วก็ต้องสระผม
แชมพูสมุนไพรไทย RAIN GARDEN ปราศจากสารเคมี ลดปัญหา ผมร่วง มีรังแค กระตุ้นการเกิดผม
เริ่มปีใหม่กับแชมพูสมุนไพรไทยปราศจากสารเคมี ปลอดภัยในการใช้
Fb.com/raingarden.official/
----------------------
© 2024 Longtunman. All rights reserved. Privacy Policy.