รถยุโรป หรือ รถญี่ปุ่น ขายดีกว่ากัน?

รถยุโรป หรือ รถญี่ปุ่น ขายดีกว่ากัน?

4 พ.ย. 2017
รถยุโรป หรือ รถญี่ปุ่น ขายดีกว่ากัน? / โดย เพจลงทุนแมน
ทุกคนคงคุ้นเคยกับรถญี่ปุ่น
และคงเดาว่ารถยุโรปมียอดขายสู้ไม่ได้
แต่จริงๆแล้วกลับไม่ได้เป็นอย่างนั้น
วันนี้จะลงทุนแมนเล่าให้ฟัง
ถ้าดูข้อมูลรายได้ปี 2016 เปรียบเทียบกันระหว่างบริษัทผลิตรถยุโรป และ บริษัทผลิตรถญี่ปุ่น
โดย 3 อันดับแรกของรถยุโรป คือ BMW Daimler Volkswagen และ 3 อันดับแรกของรถญี่ปุ่น คือ Toyota Honda Nissan
รู้ไหมว่า ยอดขายรวมกันของ 3 รถยุโรป มีมูลค่า 18.2 ล้านล้านบาท
แต่ยอดขายรวมกันของ 3 รถญี่ปุ่นมีมูลค่า 15.5 ล้านล้านบาท
สรุปแล้วทั่วโลก รถยุโรปจะขายดีกว่ารถญี่ปุ่น
เรื่องนี้อาจจะไม่เหมือนกับที่เราคิดตอนแรก เพราะในประเทศไทยเราคงจะคุ้นเคยกับรถญี่ปุ่นมากกว่า เพราะราคาถูกกว่า อย่างไรก็ตาม ถึงแม้ว่ารถญี่ปุ่นจะขายได้จำนวนคันมากกว่า แต่เมื่อคูณกับราคาขายแล้วรถญี่ปุ่นยังเป็นรองรถยุโรป
คำถามที่น่าสนใจ คือ
ถ้าราคาของ รถญี่ปุ่น และ รถยุโรปเท่ากัน ให้เลือกได้ จะเลือกอะไร?
ทุกคนก็คงจะเลือกรถยุโรป เพราะทั้ง สมรรถนะการขับขี่ ความปลอดภัย ทุกอย่างเหนือกว่า
หลายคนคงเคยฝันอยากจะครอบครองรถยุโรป แต่หยุดฝันไป เพราะกังวลเรื่อง ราคา ค่าบำรุงรักษา ราคาขายต่อในอนาคต
สุดท้ายทุกอย่างมาจบที่คำว่า เงิน
เงินเป็นตัวยับยั้งไม่ให้เราได้ของคุณภาพดี
จริงๆแล้วในบรรดาผู้ผลิตรถยนต์ก็รู้ถึงปัญหานี้เป็นอย่างดี จะเห็นได้ว่า ทุกบริษัทรถจึงมีบริษัท Leasing มาแก้ปัญหานี้ โดยยื่นข้อเสนอไฟแนนซ์ดีๆให้กับลูกค้า
และจะดีแค่ไหน ถ้ามีคนมาช่วยให้เราเป็นเจ้าของรถยุโรปซักคันได้ง่ายขึ้น
ตัวอย่างเช่นค่าย BMW ล่าสุดได้เปิดตัวผลิตภัณฑ์ทางการเงินใหม่ ให้คนทั่วไปได้เป็นเจ้าของโดยผ่อนต่อเดือนไม่เกิน 20,000 บาท
พร้อมกับการรับประกันว่าเราจะไม่ต้องออกค่าซ่อมบำรุงซักบาท
แถมยังรับประกันที่จะรับคืนรถ ไม่ต้องกังวลเรื่องราคาขายต่อในอนาคตอีกต่อไป..
ยกตัวอย่างตัวเลขแบบง่ายๆ เพื่อให้เห็นภาพ
รถ BMW รุ่น X1 มีราคาอยู่ที่ 2,274,000 บาท
เงินดาวน์ 531,672 บาท
เราผ่อนชำระงวดละ 19,999 บาท
หมายความว่าเรามีเงินเริ่มต้น 5 แสนกว่าบาท ก็สามารถซื้อรถยุโรปได้แล้ว..
เทคนิคนี้คือการยืมเงินในอนาคตมาใช้ ซึ่งเมื่อก่อนเราจะคุ้นเคยกับคำว่า บอลลูน ซึ่งจะมีเงินก้อนสุดท้ายที่ต้องจ่ายตอนครบกำหนด
เมื่อผ่อนครบ 4 ปี จะเหลือยอด 1,269,920 บาท ซึ่งเราจะต้องหาเงินก้อนมา เพื่อปิดยอดนี้
แต่จริงๆแล้วเราไม่จำเป็นต้องมีเงินก้อนมาเพื่อปิดยอดนี้ก็ได้..
สิ่งที่จะแตกต่างออกไปจากบอลลูนแบบเมื่อก่อน คือ BMW จะให้สิทธิ์เราในการเลือกว่าจะจัดการกับเงินก้อนนี้ต่ออย่างไร
ทางเลือกแรก คือการจ่ายเงินบอลลูนแบบปกติ ที่เราจะนำเงิน 1.26 ล้านบาทมาจ่ายเพื่อปิดยอด
แต่ถ้าเรายังมีภาระทางการเงิน ที่ทำให้ไม่สะดวกจะจ่ายเงินก้อนนี้ เราสามารถเลือกที่จะ รีไฟแนนซ์ ขยายระยะเวลาผ่อนต่อไปได้อีกสูงสุด 4 ปี
หรือ ถ้ามีรถรุ่นใหม่ออกมาขายพอดี เราสามารถเลือกที่จะเป็นอิสระจากรถคันเดิม โดยมีโอกาสเปลี่ยนเป็นรถคันใหม่ได้ตามความต้องการ (ซึ่งจะขึ้นกับข้อเสนอและเงื่อนไขในช่วงนั้น)
สุดท้ายเราสามารถเลือกที่จะคืนรถทั้งคันให้กับทาง BMW โดยทาง BMW จะรับประกันการคืนรถ โดยเราไม่ต้องจ่ายเงิน 1.26 ล้านบาทที่ใช้ปิดยอดใดๆ
ตอนนี้ลงทุนแมนก็ใช้รถ BMW อยู่ ต้องยอมรับว่าคุณภาพดีกว่ารถญี่ปุ่นจริง ตอนนั้นที่ซื้อยังเป็นข้อเสนอไฟแนนซ์บอลลูนแบบเก่า ทำให้พอจะเปรียบเทียบได้กับข้อเสนอใหม่นี้ ต้องยอมรับว่าข้อเสนอใหม่นี้ดีกว่าแบบเก่า เพราะเรามีอิสระในการเลือก ณ ตอนนั้น ว่าจะใช้รถต่อ ขยายเวลาผ่อน เปลี่ยนรถใหม่ หรือจะคืนรถก็ได้
ที่น่าสนใจที่สุดคงเป็นเรื่องคืนรถ เพราะเขาคิดมูลค่างวดสุดท้ายให้เรามากถึง 57% ของราคารถ ซึ่งหมายความว่าถ้าเราคืนรถ เราจะไม่ต้องจ่ายเงินงวดสุดท้าย เรื่องความกังวลเรื่องราคารถมือสองในตลาดตกจะไม่ใช่ประเด็นอีกต่อไป เพราะเสมือนเขาการันตีราคาขายต่อของเราให้มากถึง 57% ของราคาซื้อ
สุดท้ายแล้วคงต้องหมายเหตุว่า ถ้าใครมีกำลังไม่ถึงก็คงไม่จำเป็นต้องซื้อรถ การโดยสารสาธารณะยังเป็นทางเลือกในการเดินทางที่ประหยัดเงินที่สุด แต่ถ้าใครวางแผนจะซื้อรถญี่ปุ่นอยู่แล้ว อาจจะลองนำข้อเสนอนี้ไปเปรียบเทียบดู ก็จะพบว่ามันคุ้มค่ากว่า เพราะเราจะได้ของที่ดีขึ้น โดยใช้เงินเริ่มต้นไม่ต่างจากเดิม..
<Advertorial Article>
© 2024 Longtunman. All rights reserved. Privacy Policy.