การเปลี่ยนถ่ายจาก รถเครื่องยนต์สันดาป สู่ EV Car ในประเทศไทย
MG X ลงทุนแมน
การเปลี่ยนถ่ายจาก รถเครื่องยนต์สันดาป สู่ EV Car ในประเทศไทย
การเปลี่ยนถ่ายจาก รถเครื่องยนต์สันดาป สู่ EV Car ในประเทศไทย
รถยนต์คันแรกที่วิ่งบนถนนเมืองไทยเกิดขึ้นปี พ.ศ. 2447
หรือเมื่อ 116 ปีที่แล้ว ซึ่งเจ้าพระยาสุรศักดิ์มนตรี เป็นคนนำเข้ามาจากยุโรป
หรือเมื่อ 116 ปีที่แล้ว ซึ่งเจ้าพระยาสุรศักดิ์มนตรี เป็นคนนำเข้ามาจากยุโรป
แต่เมื่อรัชกาลที่ 5 ทรงเห็นว่ายังใช้งานยาก ก็ทรงสั่งให้บริษัทเยอรมันประกอบรถยนต์ยี่ห้อ เมอร์เซเดส เป็นรถยนต์พระที่นั่งที่ใช้น้ำมันเป็นเชื้อเพลิง
เมื่อเวลาผ่านไปในประเทศไทยก็มีแบรนด์รถยนต์ต่างๆ เกิดขึ้นมากมายทั้งแบรนด์ญี่ปุ่นและยุโรปพร้อมกับมาตั้งโรงงานผลิตในประเทศไทย
จนปัจจุบันประเทศไทยกลายเป็นฐานการผลิตรถยนต์รายใหญ่อันดับ 11 ของโลก
แล้วเคยสังเกตกันไหมว่าจากจุดเริ่มต้นเมื่อ 100 กว่าปีที่แล้วมาถึงวันนี้
สิ่งที่ไม่เปลี่ยนแปลงไปไหนก็คือ รถยนต์บนท้องถนนส่วนใหญ่ยังเป็นเครื่องยนต์สันดาป
ที่ต้องพึ่งพาน้ำมันซึ่งก่อให้เกิดทั้งมลภาวะทางอากาศ และมลภาวะทางเสียง
สิ่งที่ไม่เปลี่ยนแปลงไปไหนก็คือ รถยนต์บนท้องถนนส่วนใหญ่ยังเป็นเครื่องยนต์สันดาป
ที่ต้องพึ่งพาน้ำมันซึ่งก่อให้เกิดทั้งมลภาวะทางอากาศ และมลภาวะทางเสียง
ทั้งๆ ที่เวลานี้ค่ายรถทั่วโลกได้สร้างเทคโนโลยียานยนต์ไร้ควันพิษ ขับเคลื่อนด้วยพลังงานไฟฟ้า
แล้วทำไม รถที่ใช้เครื่องยนต์สันดาป จึงยังวิ่งอยู่เต็มท้องถนนเมืองไทย
แล้วทำไม รถที่ใช้เครื่องยนต์สันดาป จึงยังวิ่งอยู่เต็มท้องถนนเมืองไทย
ลงทุนแมนจะลองวิเคราะห์ให้ฟัง
เหตุผลที่รถเครื่องยนต์สันดาป ได้รับความนิยมสูงสุดในบ้านเรา
นอกจากทุกค่ายผู้ผลิตจะมีรถหลายรุ่นให้เลือกซื้อตามใจชอบ แล้วนั้น
อีกข้อที่สำคัญก็คือด้วยราคาขายเข้าถึงง่าย ก็เลยเป็นตลาดที่ซื้อง่ายขายคล่องไม่ว่าจะเป็นรถมือหนึ่งหรือมือสอง
นอกจากทุกค่ายผู้ผลิตจะมีรถหลายรุ่นให้เลือกซื้อตามใจชอบ แล้วนั้น
อีกข้อที่สำคัญก็คือด้วยราคาขายเข้าถึงง่าย ก็เลยเป็นตลาดที่ซื้อง่ายขายคล่องไม่ว่าจะเป็นรถมือหนึ่งหรือมือสอง
แต่สิ่งที่ต้องแลกมาก็คือ นอกจากสิ่งแวดล้อมจะติดลบจากควันพิษ เราเองก็ต้องจ่ายค่าน้ำมันในแต่ละเดือน ซึ่งโดยเฉลี่ยแล้วรถเครื่องยนต์สันดาปเมื่อใช้น้ำมัน 1 ลิตรจะวิ่งได้ 10-15 กิโลเมตร
สุดท้ายก็คือค่าซ่อมบำรุงที่ดูวุ่นวายเพราะ ต้องมีการเช็คและซ่อมบำรุงเครื่องยนต์อย่างสม่ำเสมอ
จนในเวลาต่อมาก็มีเทคโนโลยีรถยนต์ไฮบริด HEV ที่เป็นการนำแบตเตอรี่ และมอเตอร์ไฟฟ้า
เข้ามาช่วยให้รถ มีกำลังมากขึ้นกว่าเดิม และประหยัดน้ำมันมากขึ้น
จนในเวลาต่อมาก็มีเทคโนโลยีรถยนต์ไฮบริด HEV ที่เป็นการนำแบตเตอรี่ และมอเตอร์ไฟฟ้า
เข้ามาช่วยให้รถ มีกำลังมากขึ้นกว่าเดิม และประหยัดน้ำมันมากขึ้น
โดยวิธีการทำงานของรถยนต์ไฮบริด มีหลายแบบ ขึ้นอยู่กับการออกแบบระบบส่งกำลัง ทั้งแบบที่มีการใช้พลังงานไฟฟ้ามาช่วยในระยะออกตัวเพื่อให้ออกตัวเร็วขึ้น ประหยัดน้ำมันมากขึ้น หรือจะเป็นการนำพลังงานไฟฟ้ามาช่วยเครื่องยนต์ตลอดเวลา เพื่อช่วยเพิ่มกำลังให้ดียิ่งขึ้น
และอีกหนึ่งทางเลือกที่เพิ่งมีการแนะนำสู่ตลาดก็คือ การทำงานแบบใช้มอเตอร์ไฟฟ้าขับเคลื่อนล้อเพียงอย่างเดียว แต่กำลังทั้งหมดมาจากเครื่องยนต์ "ที่ทำหน้าที่ในการปั่นไฟ" เพื่อให้รถยนต์สามารถใช้ข้อดีของมอเตอร์ไฟฟ้านั่นคือ การออกตัวที่รวดเร็ว ไม่ต้องรอรอบเครื่องยนต์
ซึ่งไม่ว่าจะเป็นแบบใด ระบบไฮบริดก็ยังคงต้องมีการเติมน้ำมันให้กับเครื่องยนต์ และยังคงมีไอเสียเหมือนเครื่องยนต์สันดาป
และสิ่งที่ทำให้รถยนต์ไฮบริด ไม่ประสบความสำเร็จเท่าไรนัก ก็คือราคาขายที่แพงกว่ารถเครื่องยนต์สันดาป และยังมีค่าใช้จ่ายในการบำรุงรักษาเครื่องยนต์อยู่ดี
ระบบที่พัฒนาต่อมาคือ ปลั๊กอินไฮบริด หรือ ระบบที่เพิ่มให้แบตเตอรี่สามารถชาร์จพลังงานจากภายนอกได้ ซึ่งจากที่เพิ่มระบบการชาร์จเข้ามานี้ จะช่วยให้รถยนต์มีกำลังมากขึ้นกว่าเดิม วิ่งด้วยระบบไฟฟ้าในช่วงความเร็วต่ำได้ไกลขึ้น และประหยัดน้ำมันมากยิ่งขึ้น แต่ถึงอย่างนั้น พลังงานหลักก็ยังคงเป็นน้ำมัน ในขณะที่ไฟฟ้าเป็นส่วนเสริมเพิ่มเติมเข้ามา
เนื่องจากทั้ง 3 ระบบที่ผ่านมา สามารถแก้ไขในเรื่องของการประหยัดน้ำมัน และกำลังที่ดีขึ้น แต่ยังคงมีการสร้างควันพิษที่มีจากเครื่องยนต์สันดาป จึงไม่สามารถแก้ไขปัญหามลพิษ PM2.5 ได้
เรื่องนี้จึงทำให้บางค่ายรถยนต์มีการคิดค้นนวัตกรรม ที่จะไม่ต้องใช้กำลังของเครื่องยนต์อีกต่อไป นั่นคือ รถยนต์ไฟฟ้า 100% โดยมีการใช้พลังงานไฟฟ้า 100% และตัดระบบเครื่องยนต์ต่างๆ ทิ้งออกไปทั้งหมด ซึ่งระบบจะสามารถชาร์จไฟได้จากภายนอกและเก็บไฟฟ้าไว้ที่แบตเตอรี่ เมื่อมีการขับเคลื่อน พลังงานไฟฟ้าจะถูกส่งไปที่มอเตอร์เพื่อขับเคลื่อนล้อ
และเมื่อรถยนต์ไม่ต้องใช้เครื่องยนต์ขับเคลื่อน ซึ่งนั่นหมายถึงต่อไปนี้เราขับรถก็ไม่จำเป็นต้องจ่ายค่าน้ำมัน ไม่ต้องเสียค่าซ่อมบำรุงเครื่องยนต์ ไม่ต้องจ่ายค่าน้ำมันเครื่อง และการใช้พลังงานไฟฟ้า 100% ก็ทำให้เวลาขับรถจะไม่มีเสียง ไม่มีควันพิษ
ซึ่งรถยนต์ไฟฟ้า 100% นี่ล่ะ ที่จะมาเปลี่ยนแปลงวิถีชีวิตของเราๆ จากการที่ต้องเติมน้ำมันที่ปั๊มเพื่อเดินทาง เปลี่ยนเป็นการชาร์จไฟฟ้าที่บ้าน คล้ายกับโทรศัพท์มือถือ อีกทั้งยังทำให้สังคมของเราเป็นสังคมสะอาดที่ไม่มี PM2.5 อีกต่อไป
โดยรถยนต์ไฟฟ้า 100% หรือ BEV Car นั้น นับวันจะมียอดขายเติบโตทั่วโลกอย่างก้าวกระโดด
ปี 2010 ยอดขายรถยนต์ไฟฟ้า 100% BEV ทั่วโลก 2,881 คัน
ปี 2019 ยอดขายรถยนต์ไฟฟ้า 100% BEV ทั่วโลก 1,502,798 คัน
เวลาเพียง 9 ปี BEV Car เติบโต 52,062%
ปี 2019 ยอดขายรถยนต์ไฟฟ้า 100% BEV ทั่วโลก 1,502,798 คัน
เวลาเพียง 9 ปี BEV Car เติบโต 52,062%
ในเวลานี้มีรถยนต์ไฟฟ้าประเภท BEV Car วิ่งบนท้องถนนทั่วโลกกว่า 4.5 ล้านคัน
โดยประเทศที่มีรถ BEV Car วิ่งบนถนนมากที่สุดก็คือ ประเทศจีน โดยมีประมาณ 2.5 ล้านคัน
หรือคิดเป็น 55% ของรถ BEV Car ทั้งหมดในโลก รองลงมาก็คือสหรัฐอเมริกา และกลุ่มประเทศในทวีปยุโรป
โดยประเทศที่มีรถ BEV Car วิ่งบนถนนมากที่สุดก็คือ ประเทศจีน โดยมีประมาณ 2.5 ล้านคัน
หรือคิดเป็น 55% ของรถ BEV Car ทั้งหมดในโลก รองลงมาก็คือสหรัฐอเมริกา และกลุ่มประเทศในทวีปยุโรป
เหตุผลสำคัญที่สุดที่ทำให้ BEV Car ในหลายประเทศทั่วโลกกำลังโตระเบิด ก็มาจากภาครัฐให้การสนับสนุน ทั้งด้านโครงสร้างภาษีผู้ผลิตรถยนต์ จนถึงการลดหย่อนภาษีให้แก่ประชาชนหากซื้อ BEV Car
เพราะเวลานี้ภาครัฐในหลายๆ ประเทศ กำลังหวาดกลัวกับสภาพอากาศที่กำลังแย่ลงทุกวัน
โดยเฉพาะประเทศจีน ที่หลายๆ เมืองกำลังตกอยู่ในวงล้อมของฝุ่น PM2.5
และเรื่องนี้ก็กำลังเกิดขึ้นกับประเทศไทยเช่นกัน
โดยเฉพาะประเทศจีน ที่หลายๆ เมืองกำลังตกอยู่ในวงล้อมของฝุ่น PM2.5
และเรื่องนี้ก็กำลังเกิดขึ้นกับประเทศไทยเช่นกัน
ถึงตรงนี้หลายคนคงถามว่าสถานะตลาดรถไฟฟ้า 100% BEV Car ในบ้านเราเป็นอย่างไร?
เชื่อหรือไม่ว่ารถ EV Car ในเมืองไทยที่มีการรวมรถยนต์ที่มีแบตเตอรี่ในการขับเคลื่อนทั้งหมด ทั้งรถไฮบริดและปลั๊กอินไฮบริด มีแค่ 1.2 แสนคันหรือ 1.2% จากจำนวนรถยนต์นั่งส่วนบุคคลทั้งหมดทั่วประเทศ
และในยอดรวมนั้น มีเพียง 1,500 คัน ที่เป็นรถยนต์ไฟฟ้า 100% หรือ BEV
เหตุผลที่ BEV Car ในเมืองไทยยังไม่แจ้งเกิดเหมือนประเทศอื่นๆ
ก็คงต้องยอมรับว่าส่วนหนึ่งมาจากการส่งเสริมของภาครัฐที่ยังไม่เข้มข้นเท่าที่ควร
เรื่องต่อมาก็คือราคาขายที่ยังคงมีราคาค่อนข้างสูง
และในยอดรวมนั้น มีเพียง 1,500 คัน ที่เป็นรถยนต์ไฟฟ้า 100% หรือ BEV
เหตุผลที่ BEV Car ในเมืองไทยยังไม่แจ้งเกิดเหมือนประเทศอื่นๆ
ก็คงต้องยอมรับว่าส่วนหนึ่งมาจากการส่งเสริมของภาครัฐที่ยังไม่เข้มข้นเท่าที่ควร
เรื่องต่อมาก็คือราคาขายที่ยังคงมีราคาค่อนข้างสูง
เพราะในตอนนี้ยังไม่มีค่ายรถรายใดสามารถผลิต EV Car ในประเทศได้ จึงทำให้ทุกรายต่างมีต้นทุนในเรื่องภาษีนำเข้า
เรื่องนี้ก็เลยส่งผลให้ราคาขาย BEV Car ในท้องตลาดมีราคาแพง ซึ่งส่วนใหญ่มีราคาเริ่มต้นที่ 1.8 ล้านบาท
เมื่อเรื่องเป็นเช่นนี้ก็เลยทำให้ MG มองเห็นช่องว่างด้วยการนำเข้า BEV Car “MG ZS EV”
โดยอาศัยสิทธิประโยชน์ภาษีนำเข้า 0% จากนโยบายการค้า FTA ไทย-จีน
โดยอาศัยสิทธิประโยชน์ภาษีนำเข้า 0% จากนโยบายการค้า FTA ไทย-จีน
จากจุดนี้ทำให้ MG ZS EV สามารถทำราคาขายได้ต่ำถึง 1.19 ล้านบาทซึ่งถูกกว่า BEV Car ค่ายอื่นๆ อย่างเห็นได้ชัด
โดยรถรุ่นนี้มีจุดเด่นคือการชาร์จไฟเต็ม 1 ครั้งวิ่งได้ไกล 337 กิโลเมตร และรับประกันแบตเตอรี่นานถึง 8 ปี
โดยรถรุ่นนี้มีจุดเด่นคือการชาร์จไฟเต็ม 1 ครั้งวิ่งได้ไกล 337 กิโลเมตร และรับประกันแบตเตอรี่นานถึง 8 ปี
สิ่งที่น่าติดตามก็คือ
แล้วเมื่อไร เราจะได้เห็น BEV Car ของค่ายรถอื่นๆ มีราคาให้คนทั่วไปเข้าถึงได้ เหมือน MG ZS EV
แล้วเมื่อไร เราจะได้เห็น BEV Car ที่ราคาต่ำกว่าล้านบาทเหมือนอย่างประเทศอื่นๆ
แล้วเมื่อไร เราจะได้เห็น BEV Car ชาร์จได้ที่สถานีชาร์จไฟฟ้าตั้งอยู่ทุกจุด เหมือนกับปั๊มน้ำมัน
แล้วเมื่อไร เราจะได้เห็น BEV Car ของค่ายรถอื่นๆ มีราคาให้คนทั่วไปเข้าถึงได้ เหมือน MG ZS EV
แล้วเมื่อไร เราจะได้เห็น BEV Car ที่ราคาต่ำกว่าล้านบาทเหมือนอย่างประเทศอื่นๆ
แล้วเมื่อไร เราจะได้เห็น BEV Car ชาร์จได้ที่สถานีชาร์จไฟฟ้าตั้งอยู่ทุกจุด เหมือนกับปั๊มน้ำมัน
คำตอบก็น่าจะอยู่ที่ว่า
โรงงานผลิตรถยนต์ในประเทศไทยจะเปลี่ยนจากผลิตรถยนต์สันดาปเป็นหลัก
มาเป็น EV Car อย่างเต็มรูปแบบเมื่อไร
และจะมีการส่งเสริมให้มีสถานีชาร์จรถไฟฟ้ามากน้อยแค่ไหน
ซึ่งเรื่องนี้ก็ขึ้นอยู่กับนโยบายต่างๆ ของภาครัฐ
และภาคประชาชนก็ต้องช่วยกันผลักดันให้เกิดขึ้นเช่นกัน
โรงงานผลิตรถยนต์ในประเทศไทยจะเปลี่ยนจากผลิตรถยนต์สันดาปเป็นหลัก
มาเป็น EV Car อย่างเต็มรูปแบบเมื่อไร
และจะมีการส่งเสริมให้มีสถานีชาร์จรถไฟฟ้ามากน้อยแค่ไหน
ซึ่งเรื่องนี้ก็ขึ้นอยู่กับนโยบายต่างๆ ของภาครัฐ
และภาคประชาชนก็ต้องช่วยกันผลักดันให้เกิดขึ้นเช่นกัน
และหากวันนั้นมาถึง
เมื่อ BEV Car วิ่งเต็มท้องถนนเมืองไทย
เมื่อ BEV Car วิ่งเต็มท้องถนนเมืองไทย
ตาของเรา จะไม่ได้เห็นควันดำ
จมูกของเรา จะไม่ได้สูดควันพิษ
หูของเรา จะไม่ได้ฟังเสียงดังจากเครื่องยนต์
จมูกของเรา จะไม่ได้สูดควันพิษ
หูของเรา จะไม่ได้ฟังเสียงดังจากเครื่องยนต์
และถึงเวลานั้น บนท้องถนนในประเทศไทย
ก็จะเป็นมิตรสำหรับเราทุกคน..
ก็จะเป็นมิตรสำหรับเราทุกคน..
References
-ศูนย์วิจัยเศรษฐกิจและธุรกิจ ธนาคารไทยพาณิชย์ (SCB EIC)
-บริษัท เอ็มจี เซลส์ (ประเทศไทย) จำกัด
-ศูนย์วิจัยเศรษฐกิจและธุรกิจ ธนาคารไทยพาณิชย์ (SCB EIC)
-บริษัท เอ็มจี เซลส์ (ประเทศไทย) จำกัด