CIVILIZATION: 70,000 BC จุดเริ่มต้น ของ จุดสิ้นสุด

CIVILIZATION: 70,000 BC จุดเริ่มต้น ของ จุดสิ้นสุด

16 ก.ย. 2017
CIVILIZATION: 70,000 BC จุดเริ่มต้น ของ จุดสิ้นสุด / โดย เพจลงทุนแมน
200,000 ปี ที่มนุษย์เกิดขึ้นมาบนโลกนี้
มนุษย์ยังไม่ได้ต่างจากสิ่งมีชีวิตทั่วไป
โดยหลักการ ก็คือ มีชีวิต ออกลูกหลาน แล้วสุดท้ายก็ตายไป
อีก 28 ปีข้างหน้า อาจจะเป็นครั้งแรกในรอบ 200,000 ปี ที่มนุษย์ จะมีชีวิตได้ตลอดไป..
ขอต้อนรับสู่..
ซีรีส์บทความเรื่อง "CIVILIZATION"
ตอน 70,000 BC จุดเริ่มต้น ของ จุดสิ้นสุด
นักวิทยาศาสตร์ชื่อ Ray Kurzweil ได้คาดการณ์ว่าโลกนี้จะมีเทคโนโลยีสูงขึ้นแบบก้าวกระโดดจนเข้าสู่จุด Singularity หรือ จุดที่เราคาดเดาไม่ได้ว่าจะเกิดอะไรขึ้นหลังจากจุดนั้น
ถึงแม้ว่าเราจะคาดเดาไม่ได้ แต่มีความเป็นไปได้ว่ามนุษย์จะสามารถมีชีวิตได้ตลอดไป โดยเป็นได้ 3 ทาง คือ
1) ทางชีววิทยา (Biology) การดัดแปลงพันธุกรรมเดิม ทำให้มนุษย์เกิดการกลายพันธุ์ อวัยวะเสื่อมช้าลง จนร่างกายเราสามารถทำงานได้ตลอดไป
2) เทคโนโลยีทางการแพทย์ (Medical Technology) ใช้อวัยวะสังเคราะห์ขึ้นมาแทนอวัยวะเดิม ตัวอย่างคือ นาย Jesse Sullivan เสียแขนทั้ง 2 ข้างจากอุบัติเหตุ แต่ตอนนี้ได้เชื่อมแขนกลเข้ากับร่างกายได้แล้ว
เรื่องนี้ทำให้คิดได้ว่า ร่างกายเราอาจจะเป็นสิ่งสังเคราะห์ (หุ่นยนต์) ทั้งหมดก็ได้ โดยใช้สมองเดิมเชื่อมกับหุ่นยนต์ หรือจะบันทึกความรู้สึกนึกคิดเราเข้าไปหน่วยความจำของหุ่นยนต์ตัวนั้นก็ยังได้
3) ถ้าเราไม่อยากเป็นหุ่นยนต์ เราสามารถโคลนนิ่งตัวเราเองขึ้นมาใหม่ให้เหมือนกับร่างเดิม และ replace ความรู้สึกนึกคิดเราเข้าไปแทนร่างนั้น ถ้าเราโคลนนิ่งร่างได้ไปเรื่อยๆ ก็แปลว่าเรามีชีวิตได้ตลอดไป..
ดูเหมือนว่าสิ่งสำคัญตอนนี้ก็คือ การแปรรหัสสมองมนุษย์เข้าสู่โลกดิจิตอล เหมือนกับที่มนุษย์ได้ทำสำเร็จกับการแปลงไฟล์เสียงเพลงเป็น mp3 และไฟล์รูปภาพเป็น jpg
เรื่องนี้คนฉลาดของโลกตอนนี้ก็รู้ทัน การเชื่อมสมองมนุษย์เข้ากับหุ่นยนต์มีหน่วยงาน Building8 ของ มาร์ค ซัคเคอร์เบิร์ก และ บริษัท Neuralink ของ Elon Musk กำลังเร่งวิจัยอยู่ และน่าจะเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นได้ในที่สุด
ทุกคนอยากมีชีวิตตลอดไป หรือไม่?
คำถามนี้เป็นคำถามที่ sensitive ใจเราคิดอย่างหนึ่ง แต่เราอาจจะตอบอีกอย่างหนึ่ง
ถ้าถามทุกคนในตอนแรก เกือบทั้งหมดคงตอบว่า เรื่องนี้ไม่ดี เราจะฝืนธรรมชาติไม่ได้ เป็นธรรมชาติของทุกคนที่เกิดมาแล้วดับไป
แต่ถ้าเปลี่ยนคำถามใหม่
ถ้าถามว่า พรุ่งนี้เราจะตาย เราอยากยืดชีวิตต่อไปอีกสักเดือนหนึ่ง หรือ ปีหนึ่ง หรือไม่?
เกือบทั้งหมดก็คงต้องตอบว่า ขออยู่ต่อ ยังไม่อยากตายตอนนี้..
สรุปแล้ว ที่เราออกกำลังกาย ที่เรากินอาหารไขมันน้อย ก็เพื่ออยากจะมีชีวิตที่ยืนยาวใช่หรือไม่? ไม่ต้องหลอกตัวเองว่า เราไม่อยากมีชีวิตตลอดไป..
จริงๆแล้วอะไรที่เป็นสาเหตุของเรื่องนี้ทั้งหมด? เรื่องนี้ต้องย้อนกลับไปเมื่อ 70,000 ปีที่แล้ว
มนุษย์เกิดมาแล้ว 200,000 ปี ก่อนหน้านี้มนุษย์ไม่ต่างจากสัตว์ทั่วไป คือ ตื่นขึ้นมา และหาอาหาร มนุษย์ในตอนนั้นใช้เวลาเกือบทั้งวัน หมดไปกับการหนีสัตว์อื่น ล่าสัตว์อื่น และ หาผักผลไม้ในป่า (ตอนนั้นมนุษย์ยังไม่รู้จักการเพาะปลูก หรือ การเลี้ยงสัตว์)
แต่ด้วยการเปลี่ยนแปลงบางอย่างในสมองของเราเมื่อ 70,000 ปีที่แล้ว.. ทำให้มนุษย์เป็นสิ่งมีชีวิตเพียงหนึ่งเดียวที่แตกต่างจากสิ่งมีชีวิตอื่น
การเปลี่ยนแปลงตอนนั้นเรียกว่า การมี "conscious" หรือ การมีความรู้สึกนึกคิดนั่นเอง..
แปลกแต่จริง จุดสำคัญในตอนนี้เป็นจุดสำคัญเดียวกับเมื่อ 70,000 ปีที่แล้ว แต่เปลี่ยนจาก สมองมนุษย์มี conscious เป็นให้หุ่นยนต์มี conscious
conscious คือ การตระหนักรู้ตัวตน ว่าตัวเองเป็นใคร ตัวเองกำลังกินข้าว ตัวเองกำลังเดิน
conscious ทำให้เกิดความคิด และ ปัญญา
conscious ทำให้เกิดการปฏิวัติทางสังคมที่สำคัญ คือการใช้ภาษา
เริ่มแรกมนุษย์ใช้ภาษาสื่อสารระหว่างกันโดย การพูด แต่จริงๆแล้วสิ่งที่สำคัญกว่าภาษาพูด คือ "ภาษาเขียน" (Writing)
ถึงแม้ว่ามนุษย์เริ่มมี conscious เมื่อ 70,000 ปีแล้ว แต่พึ่งมารู้จักการเขียน เมื่อ 5,000 ปีที่แล้วนี้เอง โดยมนุษย์ชนเผ่าแรกที่มีภาษาเขียนคือ ชาวซูเมเรียน
และเมื่อมนุษย์เริ่มรู้จักการเขียน นับตั้งแต่นั้นมาการพัฒนาของมนุษย์ก็ไม่เหมือนเดิมอีกต่อไป..
เพราะอะไร?
การเขียน หรือ การจดบันทึก เป็นสิ่งสำคัญที่ทำให้ความรู้สะสมไปให้มนุษย์ generation ต่อไปได้ โดยที่รุ่นลูกรุ่นหลานของเราไม่ต้องเริ่มเรียนรู้จาก 0 ใหม่
เมื่อมีการเขียน จึงทำให้เกิดระบบการศึกษาขึ้นหลังจากนั้น และทำให้มนุษย์รุ่นต่อไปก็ยิ่งฉลาดขึ้นไปอีกเรื่อยๆจากการต่อยอดความรู้
ลองนึกภาพถึงคนที่ไม่ได้เรียนหนังสือ มันก็เหมือนกับการเริ่มที่ 0 เพราะคนที่ไม่ได้รับการศึกษาจะไม่รู้ว่ามนุษย์ในอดีตทำอะไรกันมาแล้วบ้าง (ดังนั้นการศึกษาจึงเป็นสิ่งสำคัญมากสำหรับมนุษย์)
การต่อยอดความรู้ที่สะสมไปเรื่อยๆนี้เราเรียกว่า เทคโนโลยี
แต่ก็น่าคิดว่าการมีเทคโนโลยี ก็หลีกเลี่ยงไม่ได้ที่จะเปลี่ยนแปลงชีวิตความเป็นอยู่ของมนุษย์
เทคโนโลยีการก่อสร้าง ทำให้มนุษย์ต้องย้ายเข้าไปอยู่ห้องเล็กๆที่เรียกว่าคอนโด
เทคโนโลยีที่เรียกว่ากระแสไฟฟ้า ได้เปลี่ยนแปลงความเป็นอยู่ของมนุษย์ไปตลอดกาล
และ ตอนนี้เทคโนโลยีอินเตอร์เน็ต น่าจะเป็นเทคโนยีที่จะเปลี่ยนชีวิตมนุษย์ตอนนี้มากที่สุด
ถ้าให้มนุษย์เมื่อ 70,000 ปีที่แล้ว มาเห็นมนุษย์ในตอนนี้ เขาคงสงสัยว่ามนุษย์ยุคนี้ทำอะไรกัน มัวแต่ก้มหน้าก้มตาดูมือถือตลอดเวลา
70,000 ปีที่แล้ว
มนุษย์ออกจากที่พัก ไปล่าสัตว์ ดูวิวธรรมชาติ เก็บผักผลไม้ ตอนเย็น กลับมาก่อกองไฟ ทำอาหารกินกับคนอื่นในเผ่าเดียวกัน
ตอนนี้
มนุษย์ออกจากห้องสี่เหลี่ยมเล็กๆ ไปทำงาน ตกเย็น กลับบ้าน นอน ตื่นมาไปทำงานใหม่ คนรอบข้างเป็นแค่ background สำคัญน้อยกว่าสิ่งที่อยู่ในมือถือ
และนับวันเราก็ยิ่งจะหลุดออกจากโลกแห่งความจริง เข้าไปอยู่ในโลกเสมือนมากขึ้นเรื่อยๆ
ในขณะที่เทคโนโลยีของมนุษย์กำลังพัฒนาอย่างก้าวกระโดด
ในขณะที่เรากำลังก้าวสู่จุด singularity
แต่ตอนนี้ดูเหมือนว่า จุดสิ้นสุดที่เรากำลังจะไปถึงนั้น อาจจะไม่ได้สวยงามเหมือนกับตอนที่เป็น จุดเริ่มต้น..
© 2024 Longtunman. All rights reserved. Privacy Policy.