Singularity ถ้าเรามีชีวิตได้ตลอดไป?

ถ้าให้ถามว่าธุรกิจอะไรจะมาแรงที่สุดในอนาคต สำหรับ บิล เกตส์ คนที่รวยที่สุดในโลกตอนนี้คงจะตอบว่า ธุรกิจที่เกี่ยวกับ AI หรือ Artificial Intelligence เขามองว่าในอนาคตหุ่นยนต์จะทำงานแทนเราได้เกือบทุกเรื่อง และ ในอนาคตเราอาจจะแยกไม่ออกว่าคนข้างๆเราเป็นคนหรือหุ่นยนต์
แล้ว Singularity คืออะไร?
ในปี 1950 John von Neumann เป็นคนแรกที่ใช้คำว่า Singularity เขาอธิบายว่าเมื่อหุ่นยนต์พัฒนาได้ด้วยตัวมันเองไปเรื่อยๆ สุดท้ายมันจะพัฒนาไปอย่างก้าวกระโดดจนมนุษย์ตามไม่ทัน..
และถ้าถึงจุดนั้นจะเข้าสู่ยุคสิ้นสุดของมนุษย์แบบเดิมที่เคยเป็นมา.. ไม่รู้ว่ามนุษย์จะสูญพันธุ์หรือไม่ แต่ความเป็นอยู่ของมนุษย์จะต่างไปจากเดิมโดยสิ้นเชิง
โลกเกิดมาแล้ว 4,500 ล้านปี
100 ล้านปีที่แล้วโลกเคยอยู่ในยุคของไดโนเสาร์
ตอนนี้โลกอยู่ในยุคของมนุษย์
แต่จริงๆแล้วเมื่อ 100,000 ปีที่แล้วมนุษย์ก็ใช้ชีวิตไม่ได้ต่างอะไรจากลิง
สิ่งที่ทำให้มนุษย์เริ่มต่างจากลิงคือ การเริ่มตระหนักรู้ตัวตน หรือ conscious
สมองมนุษย์พึ่งเริ่มพัฒนาและรู้จักใช้เครื่องมือในเมื่อ 50,000 ปีที่แล้วนี้เอง
ในทำนองเดียวกัน ตอนนี้หุ่นยนต์กำลังจะเริ่มฉลาดกว่ามนุษย์ และโลกอาจจะกำลังก้าวเข้าสู่ยุคต่อไป
หุ่นยนต์จะฉลาดกว่ามนุษย์ได้อย่างไร?
Ray Kurzwell ผู้เชี่ยวชาญเรื่องนี้กล่าวว่า Singlularity คือ จุดที่พลังสมองของหุ่นยนต์รวมกันทั้งหมดจะฉลาดกว่าสมองของมนุษย์ทั้งหมดบนโลกรวมกัน ซึ่งเขาคาดว่าจุดนั้นจะเกิดขึ้นราวๆปี 2045 หรืออีก 28 ปีข้างหน้า..
ทำไมจุดที่เป็น Singularity จะเกิดขึ้นอีกไม่นานเลยถ้านับจากตอนนี้?
จากกฎของมัวร์ (Moore’s Law) บอกว่าเทคโนโลยีจะพัฒนาไปแบบ exponential ความสามารถในการคำนวณของหุ่นยนต์จะเพิ่มเป็นเท่าตัวทุกๆ 14 เดือน ตอนแรกๆเราอาจจะยังไม่เห็นว่ามันฉลาดเท่าไร แต่เมื่อมันทบต้นไปเรื่อยๆมันจะฉลาดขึ้นมากแบบทวีคูณจนเราตามไม่ทัน
28 ปีข้างหน้า เมื่อนำไปหาร 14 เดือนจะได้ว่า ความสามารถในการคำนวณจะเพิ่มเป็นเท่าตัวไป 24 ครั้ง.. ถ้าเรานำ 2 ไปยกกำลังด้วย 24 จะได้คำตอบว่า ณ จุดนั้น หุ่นยนต์จะฉลาดกว่าตอนนี้ไปอีก 16,777,216 เท่า..
และถึงตอนนั้นเราก็คงจะเป็นลิงในสายตาของหุ่นยนต์..
ไม่รู้ว่าโชคดีหรือ โชคร้าย เรากำลังอยู่ในยุคหัวเลี้ยวหัวต่อ หรือจุดที่สำคัญมากๆของประวัติศาสตร์มนุษยชาติ และไม่มีใครรู้ว่ายุคหลัง Singularity แล้วมนุษย์จะใช้ชีวิตอย่างไร เราจะควบคุมหุ่นยนต์ได้มั้ย หรือว่าหุ่นยนต์จะควบคุมเราเพราะเมื่อถึงจุดนั้นมันจะฉลาดกว่าเรามาก
ประเด็นที่น่าสนใจต่อมาคือถ้ามนุษย์ไม่ได้ถือว่าเป็นสิ่งมีชีวิตแยกกับหุ่นยนต์หล่ะ? เราไม่ต้องควบคุมหุ่นยนต์ หรือหุ่นยนต์ควบคุมเรา ถ้าเราผนวกตัวเราเองเข้ากับหุ่นยนต์เลยได้หล่ะ?
ถ้ามนุษย์สามารถผนวกตัวเองเข้ากับหุ่นยนต์ได้ จะมีเรื่องสำคัญอีกเรื่องหนึ่งตามมา
เรื่องสำคัญนั้นคือ มนุษย์มีโอกาสที่จะมีชีวิตได้ตลอดไป หรือเราเรียกกันว่าเป็น อมตะ..
มนุษย์จะดำรงอยู่ได้ตลอดไปได้โดยไม่ได้ใช้ร่างเดิม..
Conscious ความทรงจำ ความรู้สึกนึกคิด หรือจิตของเรา จริงๆแล้วไม่ได้อยู่หัวใจ แต่จริงๆแล้วมันเป็นข้อมูลที่เก็บอยู่ในสมองของเรา ถ้าเราสามารถส่งต่อข้อมูลโดยการ upload ความรู้สึกนึกคิดเราเข้า computer ถึงตอนนั้นความรู้สึกนึกคิดเราก็จะล่องลอยอยู่ในโลกดิจิตอลแทนโลกจริง
ถ้าเราอยากกลับมาสู่โลกจริง ก็ download ความรู้สึกนึกคิดเราเข้าไปในหุ่นยนต์ ถึงตอนนั้นเราจะเป็นคนเดิมในร่างใหม่ที่เป็นหุ่นยนต์
ถ้าเราอยากกลับมาสู่ร่างมนุษย์หล่ะ?
เรื่องนี้จะเกี่ยวกับ ชีววิทยา ด้วย ในการเก็บข้อมูล DNA ของมนุษย์ด้วย มนุษย์แต่ละคนจะมี Genome 6,200 nucleotides และการเก็บข้อมูล 1 byte จะเก็บ nucleotide ได้ 4 คู่ ดังนั้น มนุษย์ 1 คนต้องการพื้นที่ในการเก็บข้อมูล 10^19 bytes หรือ 10 exabytes ถ้ามนุษย์สามารถพัฒนาการเก็บข้อมูลรองรับได้ทุกคนบนโลกซึ่งมีจำนวนเท่ากับ 1.325×10^37 bytes ได้ (คาดว่าอีก 110 ปี) ก็หมายความว่ามนุษย์ทุกคนมีโอกาสกลับคืนสู่ร่างเดิมเป๊ะๆด้วยการโคลนนิ่งจาก DNA ของตัวเองขึ้นมาใหม่ แล้ว download ความรู้สึกนึกคิดทับเข้าไปในสมองเดิม
เรื่องนี้ฟังดูเป็นเรื่องเพ้อฝันแน่ๆ แต่ก็หลายครั้งที่เรื่องฝันๆเหล่านี้กลายเป็นเรื่องจริงขึ้นมา
ตอนนี้ Elon Musk กำลังลงทุนในบริษัท Neural Link ซึ่งเป็นการเชื่อมสมองคนเข้ากับคอมพิวเตอร์ ในทำนองเดียวกับ มาร์ค ซัคเคอร์เบิร์ก Building8 หน่วยงานวิจัยของเฟซบุ๊คเริ่มเชื่อมสมองคนกับคอมพิวเตอร์ได้แล้ว โดยเป้าหมายแรกก็คือ การทำให้มนุษย์สั่งพิมพ์โดยตรงจากสมองเร็วเป็น 5 เท่าของการพิมพ์ด้วยนิ้วมือ
แค่การพิมพ์ได้โดยไม่ต้องใช้นิ้ว แค่นี้ก็จะน่าจะเปลี่ยนโลกให้มีประสิทธิภาพมากขึ้นได้อีกหลายเท่าตัว
เมื่อ 200 ปีที่แล้ว..
สมัยกรุงศรีอยุธยาเรายังขี่ม้ายิงธนูกันอยู่ ถ้าคนสมัยนั้นมาเห็น iphone ในสมัยนี้ ก็คงช็อคว่าเป็นไปได้ยังไง
ถ้าดูจากรูปประกอบเป็นกราฟ GDP ของโลกเริ่มต้นที่ คศ.0 เราจะเห็นว่า GDP ของโลกเราใน 217 ปีที่ผ่านมาพุ่งสูงขึ้นคนละเรื่องกับ 1,800 ปีก่อนหน้านั้น สิ่งนี้เป็นการตอกย้ำว่าการเพิ่มเป็นทวีคูณของกฎของมัวร์น่าจะเป็นจริง
แล้วโลกจะเป็นอย่างไรในอีก 28 ปีข้างหน้า..?
คงปฏิเสธไม่ได้ว่าถ้าโลกยังพัฒนาตามกฎของมัวร์ไปอีก ในอีก 28 ปีข้างหน้าโลกก็น่าจะพัฒนาเร็วกกว่า 2,017 ปีที่ผ่านมารวมกันทั้งหมด
จริงๆแล้ว ไม่ใช่แค่ 2,017 ปี..
ประวัติศาสตร์ทั้งหมด 100,000 ปีตั้งแต่มนุษย์สายพันธุ์ Homo Sapiens กำเนิดขึ้นก็จะเทียบไม่ได้เลยกับสิ่งที่จะเกิดขึ้นในอีก 28 ปีข้างหน้านี้
ผลลัพธ์ออกมาจะเป็นอย่างไร ไม่มีใครตอบได้แน่ชัด
ถ้าให้อายุขัยเฉลี่ยคน 80 ปี สำหรับคนที่ตอนนี้อายุน้อยกว่า 50 ปี มีความเป็นไปได้สูงที่จะได้เห็นจุดนั้นกัน
จนถึงตอนนี้เราเตรียมพร้อมที่จะเจอกับจุด Singularity แล้วหรือยัง?
ถ้าใครกำลังท้อแท้ หรือคิดว่าตัวเองโชคไม่ดี อย่างน้อยเราน่าจะโชคดีที่ได้เกิดเป็นมนุษย์ในยุคนี้
ยุคที่เป็นช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อของประวัติศาสตร์มนุษยชาติอย่างแท้จริง..
Comments
106 thoughts on “Singularity ถ้าเรามีชีวิตได้ตลอดไป?”
You must be logged in to post a comment.
โอ้ย ชอบเพจนี้มาก
ตามไปอ่าน Singularity อย่างมันส์
น่าคิดมากว่า อีก 10ปี 20ปี 30ปี จะเป็นไงต่อ
เพราะเทคโนโลยีมันทวีคูณตัวมันเองเรื่อยๆจนมนุษย์เราตามไม่ทัน
ก่อนตายจะมีแบบ skynet ไหม
หรือเราจะ adapt ไปเป็นแบบ transcendence
ขอบคุณครับ
climate change มนุษย์ตายหมดโลกก่อน
Win Watcharavee จริงๆแล้วมีมนุษย์อีกพันธุ์หนึ่งที่มีสมอง และมีชีวิตร่วมกับมนุษย์สายพันธุ์ของเรา (homo sapiens) เมื่อ 10,000 ปีที่แล้ว (มีการผสมพันธุ์ข้ามสายพันธุ์กันด้วย) และตอนนั้นเกิด climate change ยุค ice age ขึ้น แต่โชคร้ายที่มนุษย์สายพันธุ์นั้นสูญพันธุ์ไป เราเป็นเพียงเผ่าพันธุ์ที่โชคดีที่รอดมาได้
และก็ไม่ได้มีอะไรการันตีว่าการเปลี่ยนแปลงสภาพอากาศที่รุนแรงจะไม่เกิดขึ้นอีกครั้ง และ เราจะรอดมาได้เหมือนตอนนั้น
เคยเห็นอีกกราฟนึงนะครับสารคดีทีได้รับรางวัลออสก้่า เรื่อง An Inconvenient Truth ของ อังกอร์
ตกใจมากเหมือนกัน มนุษย์ใช้เวลาเกือบ 10,000 ปี ประชากรเพิ่งเเตะหลักพันล้านครั้งเเรก
เเต่หลังจาก อังกฤษ ปฏิวัติอุตสาหกรรม เพียงห้าสิบกว่าปี มนุษย์กระโดดจาก 2พันล้านมาเป็น เกือบเจ็ดพันล้านในปัจจุบัน เเละจะเป็นหมื่นล้านในปี 2050 (การใช้ทรัพยกรของโลกมากขึ้นมหาศาลเเละโลกร้อนขึ้นอย่างไม่เคยเป็นมาก่อน) ผมว่ามีสิทธิมากๆที่ธรรมชาติจะรับไม่ไหว เเละมนุษย์จะสูญพันธ์
ในมุมมองของผมนะ ผมว่าทุกๆๆสรรพสิ่ง ในสิ่งมีชีวิตนั้น อยู่ภายใต้กฎธรรมชาติคัดสรรค์ แต่บังเอิญมนุษย์กับเล่นบทนี้ได้ดีเกินเหตุ เพราะมีปัญญาในการแข่งขัน การก้าวขึ้นสู่เหนื่อหว่งโซ่อาหาร กลายเป็นผู้ชนะไป แต่ในอนาคตจะเป็นผู้แพ้ แพ้ภัยจากตัวเอง เพราะ อวิชา กิเลส ตัณหา พยาบาท ที่จะกัดกร่อน ทำลาย จะกลืนกินเผ่าพันธุ์มนุษย์จนสูญสิ้น เหลือแต่ความว่างเปล่า อนัตตา อนิจจังจริงน้อ เผ่ามนุษย์ผู้ยิ่งทนง
จริงๆ เราอยู่กับโลกของโซเชียล มากเกินไปในบางครั้ง มีครั้งนึง ผมนั้งรถไปต่างจังหวัดกับครอบครัวใช้เวลาเดินทางนานพอสมควร ผมลองปิดโทรศัพย์ ผมได้นั้งคุยกับครอบครัวแบบเต็มที่ มีความสุขมาก
อยู่กับโลกความเป็นจริง และมีเวลาให้กับครอบครัวให้เยอะที่สุด
Lunlalit Rubcumin
ถ้ามือถือแบตหมด แผนที่กระดาษก็ยังจำเป็นนะคะ
แบตจะถูกพัฒนาให้ดีขึ้นเรื่อยๆ
จนถึงจุดนึงมันอาจรีชาร์ตตัวเองได้จนแบตจะหมดคือตอบแบตหมดอายุไขของมันซึ่งอาจจะหลายปี
หุ่นยนจะพัฒนาทันจนช่วยเหลือมนุษย์ทัน ก่อนที่มนุษย์จะก่อสงครามนิวเคลียร์ไหม ถ้าทันหุ่นยนต์ก็น่าจะสร้าง event skynet ก่อนแล้วก็สร้าง event matrix ขึ้นมาเพื่อรักษาเผ่าพันธ์มนุษย์ไว้ได้
เชี่ยบทความดีมากกกก
ตกลงดี หรือเชี่ยครับ
ขอบคุณครับ ถือว่าเป็นคำชมนะครับ
ผมก็แอบคิดมาตลอดนะครับ ว่าโลกจะเป็นยังไงต่อ ยิ่งเป็นยุคที่ AI มีบทบาทมากขึ้นเรื่อยๆ ทำให้มองภาพ อนาคตยากมาก ว่ารูปแบบการดำเนินชีวิตของเราจะเป็นยังไง….
ล้ำมากๆ ครับ สุดยอดบทความ
ทั้งอันนี้ และ singularity
ขอบคุณครับ
บทความดีค่ะ
แล้วเราก็จะอัพโหลดตัวเองเข้าไปอยู่ในเมทริก
คนในยุค100ปีก่อนยังจินตนาการถึงยุคนี้ไม่ได้เลย แล้วอีก100ปีข้างหน้าจะเปนไงน้อ
Sarinpat Chaihirunboonyakul
James Suphansomboon Sui Thanyarat
นิพาน
ตัวอย่างจากข้อสามคือมือถือ มันพัฒนาช้ามากในยุคแรก แต่การมาถึงของไอโฟนทุกอย่างก็เปลี่ยนไปหมด แค่สิบกว่าปีนี้โทรศัพย์มีความสามารถเพิ่มขึ้นมากๆๆๆๆๆ
เรื่องที่พูดถึงนี้อยู่ในหนังเรื่อง The Matrix ซึ่งมนุษย์ถูกเลี้ยงดูในของเหลวโดยหุ่นยนต์ และต่อคลื่นสมองเข้าไปใช้ชีวิตในโลกของดิจิตอล และถูกจัดการควบคุมด้วยโปรแกรมMatrix
หุ่นยนต์หลอกให้มนุษย์คิดว่าอยู่ในโลกจริง ทั้งที่ความจริงแล้วอยู่ในโลกเสมือนจริงที่เป็นได้แค่แบตเตอรี่ให้กับพวกจักรกล
ท้องฟ้า เดือนตุลา แนวคิดเดียวกันกะ Matrix เลยใครก๊อปแนวคิดใครก็ไม่รู้ 55
น่ากลัวค่ะ
DNA!มนุษย์ ถ้าถอดรหัสได้เมื่อไหร่ คนเราก็จะเหมือนหุ่นยนต์ที่เราสามารถเขียน แก้ไขหรือบันทึกข้อมูลเข้าไปใหม่ได้
Nitchanan Ch Job Chulalak
โลกเสมือน คือ เงาของโลกแห่งความจริงครับ
ผมว่ารุ่นเราน่าจะทันชีวิตอมตะนะ ข่วงขีวิตที่มนุษย์สามารถโอนถ่ายความรู้สึกนึกคิดลงในหุ่นยนต์ และมีชีวิตต่อไปเรื่อยๆ ได้นับแสนๆ ปี
โลกพัฒนาไปไกลกว่าที่เราจะจิตนาการได้แต่รู้สึกประเทศไทยจะพยามหลอกตัวเองแล้วหยุดอยู่กับที่นะคับ
นึกถึง เจ้า alpha โกะ เลย
ความสุขของคนยุคนั้นจะเป็นแบบไหนเหรอครับผมนึกภาพไม่ออกช่วยตอบหน่อยครับ
ต่อไปมนุษย์พัฒนาระบบ AI จนถึงจุดที่ระบบคิดเองได้ และมีความรู้สึกได้ และดันเอาความเห็นแก่ตัวใส่เข้าไปเมื่อไหร่ ระบบ AI จะใช้มนุษย์หันมาทำลายกันเอง จนมนุษย์สูญพันธุ์ด้วยน้ำมือต้วเองก็เป็นได้
*สงสัยผมอ่านนิยายแนว sci-fi thriller มากไปหน่อย
Sonny Bhudwannachai Wattikorn Kijjawijitr Tuan Nonnalin Thungsoonthorn Lukkuad Yuvaves Pie Vasinee Deesald
ดีงามมากฮะ
คนมีแค่คนบางกลุ่มอ่ะ ที่อยากเป็นอมตะ
พายเป็นอมตะเพราะฟอมาลีนนนนนนนน
55555555555555
ว้าว…
Fon Hunthanee
เศร้าจัง
ชื่นชมบทความนี้มากๆครับ .. ผมเชื่อว่าแท้จริงแล้วในทางพุทธ เราเองไม่มีตัวตนอยู่แล้ว .. เป็นอนัตตา, 1 ในไตรลักษณ์นั่นเองครับ ^__^
ขอบคุณครับ
นึกถึงเรื่องนี้เลย
เเล้วเราจะเดินทางข้ามมิติได้เปล่า
Prawit Supthaweenon
เราต้องปฏิวัติตัวเองออกจากมัน แล้วอยู่ในโลกของความเป็นจริง
Net Wongngernyuang
ถ้าไม่มีมนุษย์ แล้วจะเลือกโลกใบนี้เพื่อ..อะไร
มนุษย์แค่เป็นลิงพันธุ์หนึ่งที่โชคดีที่ได้ครองโลกตอนนี้ ติดตามเรื่องนี้ได้เร็วๆนี้ครับ
แต่ลิงพันธ์นี้ก็สร้างโลกเสมือนและหาสิ่งทดแทนลิงตัวอื่นที่ทำงานได้แต่เจ้าปัญหา..5555 แต่ถ้าลิงสามารถสร้าง time machine แบบย้อนเวลาหรือโผล่ไปที่อื่นอย่างทันที นี้สุดยอดของสิ่งมีชีวิตเลย
Matrix กำกับและเขียนโดย 2 พี่น้อง Wachowski… สุดท้ายแล้ว nothing… เพราะว่ามันเป็นโลกเสมือนอยู่แล้ว
สุดท้ายแล้วมนุษย์อาจเป็นแค่แบตเตอรี่ให้กับโลกของแมทริกซ์
จริง ๆ ดูโลกเสมือนอย่างเช่น AR (Ingress หรือ pokemon go น่าจะเห็นภาพชัดกว่า) นั่นคือโลกเสมือนที่ทับซ้อนกับโลกจริง เราไม่มีทางรู้เลยว่ามีโลกนี้ซ้อนอยู่ ถ้าไม่เปิดแอพดู
แต่ตอนนี้กำลังของ AI และ Machine Learning ยังห่างไกลกับ intelligence ในแง่ของมนุษย์มาก ยิ่งถ้าพูดถึง conciousness ยิ่งห่างกันเข้าไปอีก ในอนาคตอันใกล้เรายังไม่ต้องกังวลมากขนาดนั้น เพราะ ML ตอนนี้ก็ยังเป็นการแก้ปัญหาเฉพาะอย่าง ไม่ใช่การสร้างสรรค์สิ่งใหม่
ตามกฎของมัวร์ ถ้าเป็นการเติบโตแบบ exponential ไปเรื่อยๆโดยไม่อิ่มตัว ตอนแรกอาจจะไม่เห็นอะไร แต่ อีก 28 ปี จะถึงจุด singularity ที่จะเป็นไปได้ทุกอย่างครับ http://longtunman.com/1378
คนที่คิดค้นและผลักดันเรื่องหุ่นยนต์ทำงานแทนมนุษย์
ลืมตระหนักปัญหาใหญ่ไปข้อนึง คือ
สินค้าเขาจะขายใคร ในเมื่อหุ่นยนต์กินแต่ไฟฟ้า ไม่เหมือนมนุษย์ที่มีการอุปโภค/บริโภค สินค้าหลากหลายประเภทมากกว่า และมีการขยายตัวในการอุปโภค/บริโภค ด้วยการขยายพันธุ์และรายได้ที่เติบโตขึ้น
อวสานของธุรกิจก็จะตามมาในไม่ช้า
backward technology effect
matrix . inception
Wow เป็นบทความที่เยี่ยมมากค่ะ
อนัตตา ไร้ตัวตน
Pear Charuwan ไร้ตัวตน
ต่อไปก็ Admin เสมือนืให้ AI เขียนบทความให้ : )
น่าสนใจนะ
แบบนี้ในอนาคตอันใกล้ ประเทศไหน ที่รัฐบาลเก็บภาษีได้น้อยๆ และคนเลี่ยงภาษีเยอะๆมากอยู่แล้ว ก็คงได้รับผลกระทบไม่มากนัก
ปรับตัวให้ทัน
เราจะไร้ตัวตนกันแล้ว!! Thanatpong Kunajindaporn
บทความอย่างนี้ ชอบๆๆ!
จริงนะ เด๋วคนเรากล้าแสดงตัวตนในนี้มากกว่าในชีวิตจริงด้วยซ้ำ
Googig Ptp
อีก 2 ปี สาขาธนาคารจะปิดตัวลง เงินกระดาษจะหายไป มือถือจะเป็น Digital gateway
ผมอ่านเเล้วขนลุกเลย คิดตามครับชอบมากๆครับแนวคิด
Ninglek Yuvarath
NuNui Jujub
ชาติหน้ามีจริง หรือ มนุษย์จะเหมือน อมตะ ได้ด้วย Singularity บทความที่เขียนได้เห็นภาพมาก สุดยอดครับ…
ลงทุนแมนนี่ทำงานเป็นกลุ่มบุคคลหรือคนเดียวครับ
แสดงความAI ของลงทุนแมน มากมาก
ขนลุกเลยอ่านจบ
อนาคตอยู่แค่เอื้อม
มีอีกอย่างที่น่าคิดก็คือ ในขณะที่เราพัฒนาไปมากๆ สะดวกสบายขึ้น เช่น ต้องการน้ำแค่เปิดก๊อก ต้องการแสงสว่างแค่กดสวิตซ์
คำถามก็คือความสุขของคนเพิ่มตามความก้าวหน้าเหล่านี้รึเปล่า ?!?
เปนอีกหนึ่งบทความที่ชอบมากๆ
Thongyos Hanpongsajit Witoon Pongsilathong
ถ้าเมื่อไหร่ที่มนุษย์หนีไกลจากคำว่า “สายสัมพันธุ์” มนุษย์ก็จะเริ่มเข้าใกล้คำว่า “สูญพันธุ์” เพราะมนุษย์เป็นสัตว์สังคม
สุดจิงบทความนี้
ให้ผมทำนาย หลังจากยุคนี้
มนุษกับหุ่นยนจะเริ่มสร้างอาณานิคมใหม่ประเทศต่างๆจะล่มสลายและมนุษกับหุ่นยนจะสร้างกฎของโลกใหม่การเมืองแบบใหม่การแลกเปลี่ยนแบบใหม่เรากับหุ่นยนอาจจะต้องขัดแย้งกันด้วยวัฒนธรรมของมนุษกับหุ่นยนขัดแย้งกัน ยังไงก็แล้วแต่มนุษเท่านั้นที่ต้องเป็นเจ้าของ ระบบคราว(skynet) ไม่ใช่หุ่นยน
The Matrix Revolution
ยุคทุนนิยมจะวุ่นวาย เมื่อหุ่นยนต์AI มา ..และยุคแห่งสังคมนิยมอาจจะเป็นทางออก
.
โดเรม่อน ช่วยโลกข้าด้วยยยย
จริงๆแล้วผู้เขียน ไม่ได้มองเทคโนโลยีการปรับปรุงโครโมโซมของมนุษย์ ซึ่งอาจจะพัฒนาไปจนทำให้มนุษย์ฉลาดและเก่งแบบsuper human แบบในหนังฮอลลีวูดก็ได้ ซึ่งจะมาแข่งกับเทคโนโลยี AI หรือไม่ก็ convergence กัน กลายเป็นมนุษย์หุ่นยนต์แบบ ไซบอร์ก ในหนังสตาร์วอ ก็ได้
กงล้อได้เริ่มหมุนแล้ว และไม่มีทางจะหยุดมันหรือหมุนมันกลับได้อีกต่อไ (AI)
Digital work 4.0
ชอบมากๆ ครับ ยอดเยี่ยมจริงๆครับ
Bowling Bo Apinun Akkachayanon
นับวันรอ transcendence ครับ ถ้าอยาก “exist” ในโลกเสมือน 5555
ข้อดีของเทคโนโลยี มันดีมาก อนาคตอาจจะไร้ตัวตนใช้ชีวิตบนโลกเสมือน จนวันนึงทำคนเราลืม…ลืมวิธีการเอาตัวรอด ถ้าเกิดโลกนี้ไม่สามารถออนไลน์ได้หรือขาดไฟฟ้าไป เพราะทุกวันนี้ทำให้คนเราทำอะไรด้วยตัวเองไม่เป็นเลย อย่างเช่น หุงข้าวจากก่อฝืนไม่เป็น ขับรถไปไหนเริ่มจำทางน้อยลง เพราะใช้ GPS สุดท้ายก็ไม่อยากให้ลูกหลานเราฝึกวิธีการเอาตัวรอดบนโลกความเป็นจริงให้เป็น
จริงครับ
ชอบบทความนี้มากค่ะ
Saowarak Naka
นำมาทำเป็นภาพยนต์ได้เลยครับ
Yongky Monvisarut
ชอบมากกกก เขียนเรื่องแนวนี้อีกบ่อยๆ นะคะ
Wuttikorn March Keeratichokchaikun Minty King’s
ผมว่า ต่อไปมนุษย์จะพัฒนาด้านพลังจิตร สามารถควบคุมเครื่องมือต่างๆผสานเข้ากับพลังจิตร สามารถจดจำข้อมูลแบบไม่มัวันลืม สามารถได้ยินเสียงหรือเห็นภาพอะไรก็ได้ที่ต้องการ คล้ายๆมีหูทิพตาทิพ และพวกหุ่นต์ หรือ AI ไม่มีความสามารถทางด้านพลังจิตร มนุษย์จึงเหนือกว่าเสมอ และคนเราจะลดการเบียดเบียนสิ่งต่างๆลดลงเรื่อยๆ เพราะคนจะไม่ต้องกินอะไรอีกต่อไปก็ไม่มีวันหิวตายเช่นรับพลังงานจากแสงแดดก็พอแล้วอยู่ได้สบายๆ จะไม่ต้องมีอาชีพ เกิดมาสามารถเรียนรู้ได้ด้วยตัวเอง ไม่ต้องมีใครมาสอน เพราะการพัฒนาทางด้านจิตรใจขั้นสูงมากๆ จนเผ่าพันธ์มนุษย์หลุดพ้นจากการเบียดเบียนทุกสิ่งทุกอย่างได้สำเร็จ ** เหมือนมนุษย์ต่างดาว
การโอบกอดจากโลกดิจิตอล มันก็ไม่ให้ความรู้สึกเท่ากับเราเจอหน้ากันแล้วโอบกอดกันหรอกครับ ..
เพราะไม่ว่ายังไง คนเราก็ยังต้องการสิ่งที่มีอยู่จริงอยู่ดีครับ
เราไม่ได้อิ่มท้องด้วยข้าวดิจิตอล
เราไม่ได้รู้สึกดีมากๆจากความรักดิจิตอล
ลองสังเกตุดูสิครับ เวลาวันหยุดยาวๆ .. จะมีสักกี่คนที่อยู่กรุงเทพ .. มันก็มีแต่คนออกต่างจังหวัด กลับบ้านหาพ่อแม่กันส่วนใหญ่ ..
เพราะเขากลับไปหา “ของจริง” น่ะครับ
พวกสารพัดคำและทฤษฎีอย่างที่พวกนักวิชาการเหล่านี้รวบรวมกันคิดขึ้นมานั้น มันก็แค่วาทะกรรมที่พยายามจะสร้างกระแสให้คนหมู่มากหันไปในทิศทางเดียวกันแค่นั้นเองครับ .. ก็แค่เพื่อเรื่องเงินๆทองๆแค่นั้นเอง
ขณะที่ผมอ่าน และพิมพ์อยู่นี้ ผมก็กำลังทำอยู่บนมือถือ ..
แต่พอเสร็จแล้ว ผมก็ต้องเดินไปหาแม่หาป๊าของผมที่เป็นตัวจริง และนั่งกินข้าวด้วยกันอยู่ดีครับ ..
ไม่มีใครในโลกนี้ที่รู้สึกดีใจจริงๆ เพราะเห็นหน้าพ่อกับแม่ หรือลูกๆในจอมือถือ หรือภาพโฮโลแกรมหรอกครับ
ความเห็นส่วนตัวนะครับ
รู้สึกตกใจ แต่เป็นแบบนี้แน่ ๆ
เจ็บจริงๆ
เชื่อมโยงกับเรื่องจิตวิญญาณได้ดีเยี่ยมเลยคับ ลึกซึ้งมาก
Nantawan Sinchai