Elon Musk ฉบับสมบูรณ์

Elon Musk ฉบับสมบูรณ์

24 ก.ค. 2017
บทความนี้เป็นเรื่องราวเกี่ยวกับ Elon Musk ที่เพจลงทุนแมนได้เคยเขียนมาทั้งหมด ถ้าใครอ่านบทความนี้จบน่าจะเข้าใจว่าอะไรจะเป็นเมกะเทรนด์ที่กำลังจะเกิดขึ้นในโลกอนาคตอันใกล้นี้ ยาวหน่อย แต่สนุกเหมือนเดิม เตือนให้อ่านตอนว่าง เพราะถ้าอ่านแล้วจะหยุดไม่ได้ ถ้าพร้อมแล้ว เชิญเสพเรื่องราวของ Elon Musk ได้เลยครับ
Elon Musk บุคคลแห่งศตวรรษ
SpaceX ของ Elon Musk ประสบความสำเร็จในการนำจรวดที่ใช้แล้วกลับมาใช้ใหม่ได้เป็นครั้งแรก ซึ่งเป็นการพลิกโฉมของประวัติศาสตร์การขนส่งทางอวกาศเลยทีเดียว Elon Musk เป็นใคร ทำไมทุกคนถึงยกย่องให้เขาเป็น Tony Stark หรือ Iron Man ตัวจริงบนโลกนี้
Elon Musk ประกาศว่าเขาจะเปลี่ยนความเป็นอยู่ของมนุษยชาติ โดยเป้าหมายของเขาคือลดโลกร้อนผ่านการใช้พลังงานสะอาด และลดความเสี่ยงในการสูญพันธ์ของมนุษย์โดยตั้งอาณานิคมที่ดาวอังคาร จากเป้าหมายที่ดูเพ้อฝันของเขาเป็นจุดเริ่มต้นของเรื่องราวการปฏิวัติการใช้พลังงานของโลก
จากข้อมูลวิกีพีเดีย เรามาดูโครงการของเขาตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบันกัน
ปี 1995 เขาได้ตั้งบริษัทซอฟท์แวร์ Zip2 และขายบริษัทให้ Compaq ได้เงิน 770 ล้านบาท ในปี 1999
ปี 1999 เขาเอาเงินที่ได้ไปตั้งบริษัท Paypal ระบบโอนเงินออนไลน์ และขายบริษัทให้ eBay ได้เงิน 5,775 ล้านบาท ในปี 2002
ปี 2002 เขาเริ่มไอเดียที่จะไปดาวอังคาร แต่มาพบว่าราคาจรวดแพงเกินไป และเขาน่าจะทำจรวดเองที่ถูกกว่าได้ เขาคำนวณว่าจรวดมีต้นทุนแค่ 3% ของราคาขาย และราคาขายน่าจะลดได้ถึง 10 เท่า เขาจึงได้ตั้งบริษัท SpaceX เพื่อทำจรวดเอง
ปี 2004 เขาเริ่มลงทุนในหุ้น Series A ของ Tesla บริษัทผลิตรถไฟฟ้าที่ขับด้วยตัวเอง และ แบตเตอรี่ เขามองว่าอนาคตรถจะเปลี่ยนการใช้พลังงานจากน้ำมันที่มีประสิทธิภาพเผาไหม้ต่ำกว่า เป็นพลังงานไฟฟ้าซึ่งได้จากแบตเตอรี่
ปี 2006 เขาก่อตั้ง SolarCity ซึ่งปัจจุบันเป็นบริษัทพลังงานแสงอาทิตย์อันดับ 1 ของอเมริกา
ปี 2008 จรวดของ SpaceX ลำแรกนำดาวเทียมขึ้นสู่อวกาศ
ปี 2012 SpaceX เป็นจรวดของเอกชนรายแรกที่ได้ขนอุปกรณ์ขึ้นสถานีอวกาศนานาชาติ
ปี 2013 เขานำเสนอไอเดียของ Hyperloop การขนส่งแบบใหม่ที่ข้างในท่อเป็นสูญญากาศ ซึ่งจะทำให้วิ่งเร็วเท่าเสียงที่ 1,200 กม./ชม. เร็วกว่า เครื่องบินที่ 900 กม./ชม. และรถไฟที่ 200 กม./ชม.
ปี 2015 SpaceX นำจรวดกลับมาที่ฐานได้สำเร็จ ปกติแล้วจรวดจะใช้ครั้งเดียวแล้วทิ้งลงทะเล เป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์ที่จรวดจะบินกลับเข้ามาที่ฐานเอง
ปี 2016 รถไฟฟ้า Tesla รุ่น Model3 สามารถตั้งราคาขายในราคาที่ถูกมากใกล้เคียงกับรถใช้น้ำมันเป็นเชื้อเพลิง และมียอดจอง 325,000 คันใน 1 สัปดาห์ นับเป็นสินค้าที่ขายตอนเปิดตัวได้มากสุดในประวัติศาสตร์โลก (มากกว่า iphone)
ปี 2017 บริษัทสัญชาติจีน Tencent เจ้าของ social media ที่ใหญ่สุดในจีน และเป็นบริษัทที่ใหญ่สุดในเอเชีย ประกาศซื้อหุ้น 5% ของ Tesla และกลายเป็นผู้ถือหุ้นอันดับ 5 ของ Tesla ด้วยเหตุผลคือชอบในตัวผู้บริหารคือ Elon Musk
ปี 2017 เขาช็อควงการ AI ด้วยการตั้งบริษัท Neuralink เพื่อที่จะเชื่อมสมองมนุษย์กับหุ่นยนต์! โดยเขาคิดว่าต่อไปคนจะไม่จำเป็นต้องสั่งงานจากโทรศัพท์มือถือ แต่สั่งงานโดยตรงจากสมองของเรา
ปี 2017 SpaceX นำจรวดที่เคยใช้แล้วกลับมาใช้ใหม่ ส่งดาวเทียมขึ้นอวกาศได้สำเร็จ ซึ่งจะช่วยลดต้นทุนไปอวกาศได้มหาศาล
ตอนนี้ SpaceX ถือว่าเป็นบริษัทผลิตจรวดใหญ่ที่สุดในโลก โดย Elon Musk ตั้งเป้าไว้ว่าจะส่งมนุษย์ไปดาวอังคารได้ภายใน 14 ปีนี้ และอยากตั้งอาณานิคมบนดาวอังคารในอีก 23 ปี โดยมีคนที่อยู่บนดาวอังคาร 80,000 คน
แต่ดาวอังคารไม่มีบรรยากาศ ไม่มีออกซิเจนช่วยในการเผาไหม้เหมือนบนโลก ดั้งนั้นการขนส่งบนนั้นจะเป็นรูปแบบไฟฟ้า คือ รถยนต์ รถไฟ Hyperloop จะใช้พลังงานไฟฟ้าทั้งหมด ซึ่งจะเกี่ยวเนื่องกับธุรกิจที่เขาเป็นเจ้าของอยู่
คงปฏิเสธไม่ได้ว่าแต่ละโครงการที่ Elon Musk ทำมาเป็นสิ่งที่บ้าพลัง กล้าที่จะคิดต่าง และมีความฝันที่อยากเปลี่ยนแปลงโลกชัดเจน นอกจาก Steve Jobs ที่เสียชีวิตไปแล้ว Elon Musk น่าจะเป็นบุคคลที่ประวัติศาสตร์โลกต้องบันทึกเอาไว้อีกคนหนึ่ง
หวังว่าเรื่องนี้คงเป็นแรงบันดาลใจให้กับคนที่ยังไม่มีความฝัน ซึ่งคงจะดีไม่น้อยถ้าเราสามารถทำอะไรสักอย่างที่เป็นประโยชน์ต่อสังคมได้เหมือน Elon Musk
เคล็ดลับของ Elon Musk ในการวัดความสำเร็จของคนมี 2 มิติ คือ
1) ขนาดของการเปลี่ยนแปลง
2) จำนวนคนที่ได้รับผลจากการเปลี่ยนแปลง
ตัวอย่างเช่น ถึงแม้ว่าขนาดของการเปลี่ยนแปลงที่น้อย แต่ถ้าเราทำให้คนได้รับผลจากการเปลี่ยนแปลงจำนวนมาก ก็ถือว่าสำเร็จเช่นกัน หรือถ้าการเปลี่ยนแปลงส่งผลต่อคนๆเดียวแต่เป็นการเปลี่ยนแปลงที่มากสำหรับคนนั้นก็ถือว่าดี แต่จะให้ดีสุดคือ การเปลี่ยนแปลงที่สำคัญ และส่งผลต่อทุกคนบนโลก ซึ่งตัวอย่างก็คือ iphone Facebook และ SpaceX
-----------------------------
Elon Musk ตอน ดวงอาทิตย์
ในอวกาศเมื่อ 4,600 ล้านปีที่แล้ว มีวัตถุใหญ่ก้อนหนึ่งที่มีแรงดึงดูดมหาศาล ทำให้เกิดแรงบีบอัดตัวมันเอง แรงบีบอัดนี้ทำให้มีอุณหภูมิสูงขึ้นเรื่อยๆจนเกิดปฏิกิริยานิวเคลียร์ที่แกนกลางของวัตถุ เมื่อความร้อนที่แผ่ออกมามากพอที่จะต้านแรงดึงดูด การบีบอัดก็หยุดลงจนกว่าพลังงานจะถูกเผาไหม้หมด
เราเรียกวัตถุก้อนนั้นกันว่า ดวงอาทิตย์
ดวงอาทิตย์เป็นแหล่งกำเนิดพลังงานของสิ่งมีชีวิตทั้งหมดบนโลก พืชสังเคราะห์แสง สัตว์กินพืช สัตว์กินสัตว์ เกิดเป็นห่วงโซ่อาหารที่เราคงเคยเรียนกัน โดยหน่วยวัดพลังงานจะเรียกว่า จูล
มนุษย์กินอาหารก็เหมือนเป็นการขโมยพลังงานมาจากอาหาร ที่เราคุมน้ำหนักดูแคลอรี่ก็คือการคุมพลังงานที่เราได้ ซึ่ง 1 แคลอรี่มี 4.184 จูล
นอกเหนือจากการกินอาหาร มนุษย์ฉลาดพอที่จะรู้จักการใช้พลังงานมาอำนวยความสะดวกเรื่องอื่นด้วย เช่น ใช้ช้างลากท่อนซุง ใช้ม้าสำหรับเดินทาง ใช้พลังงานลมมาแล่นเรือใบ แต่สิ่งที่น่าตื่นเต้นที่สุดของการใช้พลังงานคือ “การเผา” เพื่อได้พลังงานความร้อน
ในประวัติศาสตร์ 50,000 ปีที่มนุษย์เกิดขึ้น สิ่งที่ทำให้มนุษย์มีวิวัฒนาการที่ก้าวกระโดดมากที่สุด ก็คือการ "เผาน้ำ" แล้วเอาแรงดันไอน้ำมาดันลูกสูบ หรือเราเรียกว่า เครื่องจักรกลไอน้ำ ซึ่งเป็นที่มาของคำว่าการปฏิวัติอุตสาหกรรมในปี 1800 หรือเมื่อ 200 ปีที่แล้ว
อย่างไรก็ตามสิ่งที่ปฏิวัติชีวิตความเป็นอยู่ของมนุษย์จริงๆน่าจะเป็นการค้นพบวิธีการส่งกระแสไฟฟ้าสลับ (AC) ของ Nikola Tesla เพราะพลังงานสามารถเปลี่ยนเป็นรูปแบบที่มนุษย์ต้องการได้ตั้งแต่ แสงสว่าง ตู้เย็น ทีวี ลำโพง เครื่องปรับอากาศ ตามแต่จินตนาการ และการต่อยอดเทคโนโลยีของมนุษย์
ถ้าเรามาดูการใช้พลังงานของมนุษย์ในปัจจุบันจะ แบ่งออกเป็น 2 เรื่องใหญ่คือ
1) การผลิตกระแสไฟฟ้า
โรงไฟฟ้าเผาเชื้อเพลิงเพื่อเอาไอน้ำไปหมุนขดลวดในสนามแม่เหล็กเพื่อทำให้เกิดกระแสไฟฟ้า แล้วส่งไฟฟ้าไปบ้านเรือนผ่านสายไฟ การเผาจะเกิดขึ้นที่โรงไฟฟ้า ไม่ได้เกิดขึ้นที่บ้านเรือน โดยเชื้อเพลิงหลัก 2 ประเภทของโรงไฟฟ้า คือ ถ่านหิน และ ก๊าซธรรมชาติ
2) การขนส่ง
ตั้งแต่ 100 ปีที่แล้ว รถถูกออกแบบมาให้ใช้น้ำมันเป็นเชื้อเพลิงในการเผาเพื่อดันลูกสูบ สังเกตว่าคราวนี้การเผาจะเกิดขึ้นภายในรถแต่ละคันเลย และน้ำมันเป็นเชื้อเพลิงที่สะดวกในการพกพา คงจะไม่ดีเท่าไรถ้าจะบอกเด็กปั๊มว่า ตักถ่านหินให้เต็มถังเลยครับ มนุษย์เริ่มนิยมใช้น้ำมันเมื่อร้อยกว่าปีที่ผ่านมา จนทำให้ร็อคกี้เฟลเลอร์เป็นเศรษฐีรวยสุดในประวัติศาสตร์ก็เพราะผูกขาดธุรกิจน้ำมัน
อย่างไรก็ตามถ่านหิน เป็นพลังงานที่ถูกที่สุด จึงนิยมที่จะนำมาผลิตไฟฟ้า แต่ถ่านหินก็ผลิตก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ มากที่สุดเช่นกัน ก๊าซนี้คือก๊าซเรือนกระจก ซึ่งทำให้โลกร้อนขึ้น และน้ำแข็งที่ขั้วโลกจะละลาย ประเทศจีนใช้ถ่านหินคิดเป็นครึ่งหนึ่งของโลก และตอนนี้จีนกำลังลดการใช้ถ่านหินลงเพราะมีปัญหาเรื่องมลพิษมาก ถ่านหินบนโลกมีให้ได้ใช้อีกประมาณ 100 ปี
ก๊าซธรรมชาติ เป็นพลังงานที่สะอาดกว่าถ่านหิน ประเทศไทยสามารถผลิตก๊าซธรรมชาติได้จากอ่าวไทย เชื้อเพลิงประเภทนี้นิยมใช้กันมากขึ้นในช่วงที่ผ่านมาเพราะมีเทคโนโลยีดึงก๊าซจากใต้ดินแบบใหม่ที่เรียกว่า Shale Gas ทำให้ผลิตก๊าซได้มากกว่าแต่ก่อน อย่างไรก็ตามเชื้อเพลิงนี้มีจำกัดกว่าถ่านหิน ก๊าซธรรมชาติบนโลกมีใช้ได้อีกเพียง 50 ปีเท่านั้น
ส่วนการเผาที่ดูไร้ประสิทธิภาพที่สุดที่เกิดขึ้นบนโลกในแต่ละวันก็คือ การเผาน้ำมันของรถยนต์ เพราะรถถูกออกแบบให้เชื้อเพลิงถูกเผาภายในรถแต่ละคัน ข้อมูลที่น่าสนใจคือปัจจุบันมีรถทั้งหมดบนโลกนี้ประมาณ 1 พันล้านคัน ทุกๆครั้งที่รถแต่ละคันสตาร์ทรถจะเป็นการเริ่มเผาไหม้ได้ก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ แต่ที่น่าวิตกขึ้นไปอีกคือ รถใหม่บนโลกนี้ถูกผลิตออกมาเพิ่มปีละ 100 ล้านคัน แปลว่าการเผาไหม้ของรถจะเพิ่มขึ้นได้อีกไปเรื่อยๆ
ดูเหมือนโลกจะเจอทางตันในการใช้พลังงานเพราะเจอปัญหา 2 เรื่องใหญ่คือ
1) มลภาวะ และภาวะโลกร้อน
เราอาจจะไม่รู้สึกอะไรตอนนี้ แต่เมื่อโลกร้อนขึ้น จะทำให้เกิดภัยธรรมชาติที่บ่อยขึ้น และรุนแรงขึ้น เรายังคงจำกันได้ว่าน้ำท่วมประเทศไทยตอนปี 2554 รุนแรงถึงขนาดไหน เราจะเจอกับเหตุการณ์ฝนตกมากไป และ หน้าแล้งยาวนาน ที่รุนแรงมากขึ้น แต่สิ่งที่น่าเป็นห่วงที่สุดคือระดับน้ำที่สูงขึ้นทุกปีจากน้ำแข็งขั้วโลกที่ละลาย เมกะโปรเจกต์ในอนาคตของรัฐบาลจะไม่ใช่การสร้างรถไฟฟ้าหรือทางด่วน แต่จะเป็นการสร้างเขื่อนกันน้ำทะเล
2) เชื้อเพลิงที่ใช้เผาไหม้กำลังจะหมดไป
เราโชคดีมากที่เกิดมาอยู่ในจุดที่มีการเริ่มใช้ทรัพยากร เราพึ่งเริ่มการเผาอย่างจริงจังมาแค่ 100 กว่าปี จากประวัติศาสตร์มนุษย์ 50,000 ปี แต่ทรัพยากรที่จะนำมาเผามีให้ใช้ได้อีกแค่ 50-100 ปีต่อจากนี้ แปลว่าอีกรุ่นลูกอีกแค่ 2 Generation ต่อจากเราจะเจอปัญหานี้แน่นอน
ในที่สุด TESLA บริษัทที่มีชื่อคล้ายผู้คิดค้นระบบส่งไฟฟ้าก็เกิดขึ้น
Elon Musk สุดยอด CEO ของบริษัทบอกว่าต้นตอของปัญหาเรื่องนี้คือ การเผา เราจะไม่เผาเชื้อเพลิงอีกต่อไป ทั้งการเผาที่เกิดขึ้นภายในรถแต่ละคัน และ การเผาของโรงไฟฟ้า และคำตอบของปัญหานี้เป็นการย้อนกลับไปหาจุดเริ่มต้นของเรื่องทั้งหมดก็คือ พลังงานบนโลกนี้ทั้งหมดเกิดจาก “ดวงอาทิตย์”
TESLA ประกาศว่าจะนำพลังงานจากดวงอาทิตย์มาใช้โดยตรงทั้งในรถยนต์ และการผลิตกระแสไฟฟ้า
TESLA ก่อตั้งเมื่อปี 2003
เวลาผ่านไป 14 ปี
ปัจจุบัน TESLA เป็นบริษัทรถยนต์ที่มีมูลค่ามากที่สุดในอเมริกา และเป็นเจ้าของ Solar City บริษัทโรงไฟฟ้าแสงอาทิตย์ที่ใหญ่สุดในอเมริกา
และนี่คือจุดเริ่มการเปลี่ยนโลกของ TESLA
-----------------------------
Elon Musk ตอน รถยนต์
รูปของบทความนี้คือรถคันแรกในประวัติศาสตร์ที่ถูกสร้างขึ้นโดย Ferdinand Verbiest ในตอนนั้นรถวิ่งได้จากการต้มน้ำได้ไอน้ำมาหมุนเกียร์และล้อ แต่คนยังขึ้นไปบนรถไม่ได้ จนมาถึงปี 1885 Karl Benz ได้ประดิษฐ์รถคันแรกของโลกที่ใช้น้ำมัน ซึ่งเขาคือคนก่อตั้งบริษัทผลิตรถ Mercedez Benz ที่เรารู้จักกัน และในช่วงปี 1900 ยังมีนักประดิษฐ์คิดค้นรถเพิ่มขึ้นอีกหลายแบบ แต่สามารถแบ่งได้เป็น 3 ประเภทหลักตามการใช้พลังงาน คือ
1) 40% เป็นรถที่ใช้ไอน้ำ โดยน้ำจะถูกเผาภายนอกเครื่องยนต์เพื่อให้ได้ไอน้ำ เรียกว่า External Combustion
2) 38% เป็นรถที่ใช้ไฟฟ้า ในช่วงปี 1900 ไฟฟ้าพึ่งถูกค้นพบ และถือว่าเป็นเทคโนโลยีที่ล้ำสมัยสุดๆในช่วงนั้น
3) 22% เป็นรถที่ใช้น้ำมัน โดยน้ำมันจะถูกเผาภายในเครื่องยนต์โดยตรง เรียกว่า Internal Combustion
ดูเหมือนว่ารถแต่ละประเภทมีส่วนแบ่งการตลาดไม่ต่างกันมากนักในช่วงแรก แต่ภายในเวลา 10 ปีหลังจากนั้นรถที่ใช้น้ำมันก็เป็นผู้ชนะ และสามารถครองส่วนแบ่งตลาดได้เกือบทั้งหมด เพราะเหตุผลสำคัญของคำว่า “Economy of Scale”
ปี 1913
Henry Ford ได้ผลิตรถที่ใช้น้ำมัน และนำวิธีการผลิตแบบ Assembly Line มาใช้ จากที่เมื่อก่อนพนักงานคนหนึ่งจะประกอบชิ้นส่วนรถทุกชิ้น เปลี่ยนมาเป็นไลน์การผลิตให้พนักงานมีความชำนาญเฉพาะเรื่องที่ทำ ทำให้ผลิตได้เร็วขึ้น และทำให้ต้นทุนการผลิตต่อหน่วยถูกลง รถรุ่น Model T ของ Ford สามารถขายในราคาถูก และเข้าถึงชนชั้นกลางทั่วไปได้
เมื่อรถของ Ford เป็นที่นิยมและขายได้เป็นจำนวนมาก ก็เป็นการสร้างมาตรฐานใหม่ให้กับวงการรถยนต์ว่าจะต้องผลิตรถประเภทที่ใช้น้ำมันเป็นเชื้อเพลิง และ การผลิตรถต้องเป็นแบบ Assembly Line
37 ปี ต่อมา
ปี1950
หลังสงครามโลกครั้งที่ 2 Eiji Toyoda ได้เยี่ยมโรงงาน Ford ที่อเมริกา ในเวลานั้น Toyota เริ่มผลิตรถจำหน่ายให้แก่คนญี่ปุ่นมาได้เพียง 13 ปี และขายได้เพียง 2,500 คัน ในขณะที่ตอนนั้น Ford ผลิตรถได้ 8,000 คันต่อวัน
หลังจากนั้น Toyota จึงเริ่มการผลิตแบบ Ford แต่คราวนี้ Toyota เสริมระบบแบบใหม่ที่เขาคิดค้นขึ้นมาเองเรียกว่าระบบ Kanban หรือ Just in Time จากที่เมื่อก่อนโรงงานจะสั่งสต็อกสินค้ามากองไว้ก่อนแล้วค่อยผลิต แต่ระบบนี้เปลี่ยนวิธีคิดใหม่เป็นการสั่งสต็อกสินค้าก็ต่อเมื่อมีความต้องการเท่านั้น ระบบนี้จึงทำให้ช่วยลดค่าใช้จ่ายได้อีกมาก เพราะไม่มีสินค้าคงคลัง
67 ปีต่อมา
ปี 2017
อันดับบริษัทรถยนต์มูลค่ามากสุดของโลกในปัจจุบัน เรียงลำดับได้ดังนี้
1) Toyota เจ้าของแบรนด์ Toyota, Lexus, Hino, Daihatsu
2) Daimler เจ้าของแบรนด์ Mercedez Benz, Freightliner, Smart
3) Volkswagen เจ้าของแบรนด์ Audi, Bentley, Ducati, Lamborghini, Porsche, Volkswagen
4) BMW เจ้าของแบรนด์ BMW, Mini, Rolls Royce
5) Honda เจ้าของแบรนด์ Honda, Acura
6) Tesla เจ้าของแบรนด์ Tesla
7) GM เจ้าของแบรนด์ Cadillac, Chevrolet, GMC, Opel
8) Ford เจ้าของแบรนด์ Ford
ความสำเร็จของ Toyota ทำให้บริษัทก้าวขึ้นมาเป็นบริษัทผลิตรถยนต์อันดับ 1 ของโลกในปัจจุบัน และบริษัทยิ่งใหญ่ที่สุดในอดีตอย่าง Ford ได้ตกลงมาอยู่ที่อันดับ 8
มีข้อน่าสังเกตอยู่เรื่องหนึ่งคือทุกบริษัทก่อตั้งมานานประมาณ 70- 130 ปี และรถส่วนใหญ่ยังใช้เทคโนโลยีเดิมคือการเผาน้ำมันของ Karl Benz ที่ถูกคิดค้นเมื่อ 132 ปีที่แล้ว
ยกเว้นอยู่บริษัทหนึ่งที่ติดอันดับ 6 ของโลก และ อันดับ 1 ของอเมริกา คือบริษัท Tesla ที่ก่อตั้งมาเพียง 14 ปี และรถของ Tesla เป็นบริษัทเดียวที่ไม่ได้ใช้เทคโนโลยีการเผาน้ำมันของ Karl Benz เลย
เทคโนโลยีใหม่ของ Tesla คืออะไรจึงทำให้ Tesla ถึงก้าวเข้ามาติดอันดับ 1 ของอเมริกาได้ ทั้งที่ยอดขายปีที่แล้วของ Tesla มีแค่ 76,000 คันเมื่อเทียบกับ GM อันดับ 2 ที่ขายได้มากถึง 10,000,000 คัน
-----------------------------
Elon Musk ตอน Gigafactory
TESLA พึ่งออกรถมาเพียงแค่ 2 รุ่นเท่านั้นคือ Roadster ซึ่งเป็นรถสปอร์ต และ Model S ซึ่งเป็นรถระดับบนสุดเกรดเดียวกับ Mercedes-Benz S-Class, BMW 7-Series แต่ที่น่าสนใจคือยอดขายในอเมริกาปีที่ผ่านมา Model S ของ TESLA เป็นอันดับหนึ่งชนะคู่แข่งในระดับเดียวกันทั้งหมด
ทำไมรถ Model S ของ TESLA ถึงขายดีกว่ารถหรูเยอรมัน?
ถ้า TESLA ยังอยู่ในกติกาเดิมในการทำรถที่ใช้น้ำมันจะไม่มีทางทำรถที่มีคุณภาพดีกว่าเจ้าตลาดคือ Mecedes, BMW ได้แน่ๆ แต่เกมนี้เริ่มเปลี่ยนเพราะ TESLA เลือกใช้ระบบไฟฟ้ามาใช้แทน ทำให้ TESLA ได้เปรียบอยู่หลายเรื่อง
1) สมรรถภาพที่ดีกว่า
2) ปลอดภัยกว่า
3) ต้นทุนเชื้อเพลิงถูกกว่า
4) ต้นทุนการบำรุงรักษาถูกกว่า
5) มลภาวะเป็น 0
เครื่องยนต์ของรถน้ำมันมีประมาณ 200 ชิ้นส่วน แต่สำหรับรถไฟฟ้าแล้วมีเพียง 10 ชิ้นส่วน ทำให้กระโปรงหน้ารถมีที่ว่างบรรจุสัมภาระอีกด้วย เมื่อรถเบาลงก็สามารถวิ่งได้เร็วขึ้น อัตราการเร่งของรถไฟฟ้าได้เปรียบรถที่ใช้น้ำมันเพราะไม่มีเกียร์ เมื่อชิ้นส่วนซับซ้อนน้อยลงก็ทำให้ต้นทุนการบำรุงรักษาถูกกว่า
นี่จึงเป็นเหตุผลที่ตลาดหุ้นยอมให้มูลค่าบริษัท TESLA มากกว่า GM ทั้งที่ TESLA ยังขายรถได้น้อยกว่ามาก เพราะตลาดมองว่าผู้บริโภคพร้อมแล้วที่จะเปลี่ยนจากรถใช้น้ำมันมาเป็นรถใช้ไฟฟ้า และ TESLA เป็นผู้นำสูงสุดในเทคโนโลยีนี้ ยิ่งไปกว่านั้นถ้า TESLA ทำรถไฟฟ้าให้มีราคาถูกได้ ผู้บริโภคก็ย่อมที่จะซื้อ TESLA ในตลาดระดับกลางเช่นกัน ซึ่งตลาดระดับกลางมีมูลค่ามหาศาล มากกว่าตลาดระดับบนหลายเท่า
แต่การลดราคารถไฟฟ้าให้ขายได้ในตลาดระดับกลางนั้นมีปัญหาอยู่เรื่องหนึ่งคือ “ราคาของแบตเตอรี่” แค่เฉพาะต้นทุนค่าแบตเตอรี่ก็คิดเป็นราคาประมาณ 700,000 บาทต่อคันแล้ว
แล้ว TESLA จะทำอย่างไร?
ทุกวันนี้แบตเตอรี่ที่เราใช้กันจะเป็นชนิด ลิเธียมไอออน ซึ่งส่วนใหญ่จะใช้ในโทรศัพท์มือถือ และโน้ตบุ๊ค
สิ่งที่ TESLA แก้ไขปัญหานี้ดูเหมือนจะบ้าพลังมาก คือการสร้างโรงงาน “Gigafactory” ซึ่งถือว่าเป็นโรงงานผลิตแบตเตอรี่ที่ใหญ่สุดในโลก แค่โรงงานนี้โรงงานเดียวจะผลิตแบตเตอรี่ได้มากกว่า ทุกโรงงานแบตเตอรี่ทั่วโลกรวมกัน!
โดยโรงงานนี้จะร่วมมือกับบริษัท Panasonic และจะใช้พลังงานแสงอาทิตย์ พลังงานลม พลังงานความร้อนใต้พิภพ มาผลิตแบตเตอรี่โดยไม่มีการเผาไหม้เชื้อเพลิงที่เป็นถ่านหินหรือก๊าซธรรมชาติ ถ้าเห็นในรูปประกอบหลังคาของโรงงานจะเป็น Solar Cell ทั้งหมด
Elon Musk เชื่อว่าการสร้างโรงงานนี้จะทำให้ราคาแบตเตอรี่ถูกลงถึง 30%
เมื่อของดีกับราคาถูกมาเจอกัน ผลลัพธ์คือการเปิดตัวรถรุ่นใหม่ชื่อ Model3 ซึ่งมีราคาถูกอยู่ในระดับเดียวกับ Mercedes-Benz C-Class และ BMW 3-series ทำสถิติยอดจองถึง 325,000 คันในสัปดาห์แรก นับเป็นสินค้าที่ขายตอนเปิดตัวได้มากสุดในประวัติศาสตร์โลก (มากกว่า iphone) รถรุ่นนี้ราคาเฉลี่ย 1.4 ล้านบาท แปลว่าบริษัทมียอดขายจากการเปิดตัวมากถึง 455,000 ล้านบาท!
หลังจากนั้นคู่แข่งของ TESLA ที่เป็นผู้ผลิตจากเยอรมันคือ Daimler, BMW และ Volkswagen จึงหันมาโฟกัสเรื่องรถไฟฟ้า และเริ่มสร้างโรงงานแบตเตอรี่ของตัวเองเช่นกัน สอดคล้องกับรัฐบาลเยอรมันประกาศว่ารถทุกคันที่ผลิตในเยอรมันจะต้องเป็นรถไฟฟ้าทั้งหมดในปี 2030 หรืออีก 13 ปีข้างหน้า ซึ่งหมายความว่าเราจะไม่ได้เห็นรถเยอรมันที่ใช้น้ำมันอีกต่อไปแล้ว
ส่วน Toyota ยังเลือกโฟกัสที่การผลิตรถไฮบริด คือน้ำมันผสมกับไฟฟ้า แทนที่จะเป็นไฟฟ้าอย่างเดียว
ปัจจุบันการขนส่งคิดเป็น 45% ของการใช้น้ำมันทั้งหมด ถ้าในอนาคตรถทุกคันใช้ไฟฟ้า หมายความว่าความต้องการใช้น้ำมันจะน้อยลงไปเกือบครึ่งหนึ่ง ในที่สุดราคาน้ำมันจะถูกลงจนกว่าจะมีราคาเท่ากับต้นทุนการผลิตกระแสไฟฟ้าและแบตเตอรี่
ถึงตอนนั้นรถที่ใช้น้ำมันอาจจะยังมีอยู่ แต่สำหรับประเทศที่พัฒนาแล้ว ถ้าคิดในแง่ มลภาวะ และความปลอดภัย ดูเหมือนว่าพวกเขาจะเลือกทิศทางของรถใช้ไฟฟ้าไปเรียบร้อยแล้ว
ในอนาคตการขุดเจาะน้ำมันจะน้อยลง การสร้างโรงกลั่นน้ำมันจะน้อยลง และเทรนด์ของโลกจะมุ่งไปสู่โรงไฟฟ้า Solar Cell และ โรงงานผลิตแบตเตอรี่
เราจะมีโอกาสได้เห็นโรงงานแบบ Gigafactory เกิดขึ้นอีกเป็นร้อยแห่งทั่วทุกมุมโลก รวมทั้งประเทศไทย..
วิดีโอข้างล่างนี้สนุกมากครับอย่างกับในหนังฮอลลีวู้ด เป็นการปล่อยจรวด SpaceX เพื่อนำดาวเทียมขึ้นอวกาศ จรวดปล่อยดาวเทียมสำเร็จในวิดีโอนาทีที่ 1.35 และจรวดจุดเชื้อเพลิงใหม่ในนาทีที่ 2.12 เพื่อบินย้อนกลับมาที่ฐาน (ขอบคุณวิดีโอจาก National Geographic)
© 2024 Longtunman. All rights reserved. Privacy Policy.